พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 188 แกล้งเป็นลม
เจ้าของภาพผลงานการออกแบบนั้นคือพิชญา ในรูปเป็นชุดราตรีที่กระโปรงด้านหน้าเป็นแบบสั้นแล้วด้านหลังยาว มันเป็นหางปลาลากยาวไปด้านหลังพร้อมกับผ้าคลุมขนาดใหญ่ ซึ่งผ้าคลุมและหางปลาลากยาวนั้นมีลายปักสัญลักษณ์รูปหงส์เต็มผืน มันดูหรูหรายิ่งใหญ่อลังการมาก เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นชุดเครื่องแบบพิธีหรืออาจเป็นชุดที่ใช้ตอนพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้า
ไม่รู้จริงๆเลยว่าพิชญาไม่หาแบบชุดนี้มาจากไหน
วารุณีมองไปทางพิชญา
ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ พิชญาหันหน้ามาแล้วยิ้มอย่างมีชัยพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เธอ
วารุณีอึ้งไปเลย
หมายความว่ายังไงเนี่ย
พิชญาคงไม่ได้กำลังยกนิ้วให้เธอหรอกใช่ไหม?
ขณะที่กำลังคิด มือของพิชญาก็เริ่มขยับ นิ้วหัวแม่มือของเธอเริ่มคว่ำลง เป็นการแสดงท่าทางดูถูกแทน
ดูถูกกันขนาดนี้ วารุณีทำหน้าขรึมลงทันที นัทธีที่กำลังดูถ่ายทอดสดสีหน้าแย่ยิ่งกว่าอีก
มารุตจิ๊ปากออกมา“พิชญาทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้ากล้อง ไม่กลัวจะโดนด่าบ้างเลยหรอเนี่ย”
“หล่อนมีอะไรให้กลัว ไม่เห็นคะแนนโหวตของหล่อนหรอ?”นัทธีเหลือบมองการลงคะแนนโหวตที่ข้างล่างจอถ่ายทอดสด
คะแนนโหวตของพิชญานำโด่งเป็นอันดับหนึ่ง แถมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดเลยว่าการออกแบบของหล่อนมันได้รับความนิยมมากแค่ไหน
“เข้าใจแล้ว ทุกคนต่างก็เห็นเป็นอย่างเดียวกันว่าผลงานการออกแบบของพิชญาดีกว่าของคุณวารุณี ดังนั้นไม่ว่าท่าทางของหล่อนจะทำให้คนอื่นอึดอัดแค่ไหน ชาวเน็ตก็จะไม่ว่าอะไร พวกเขาคงจะคิดว่านี่เป็นนิสัยส่วนตัวของหล่อน ยังไงอัจฉริยะก็มักจะได้รับสิทธิพิเศษอยู่เสมอนี่นา”
มารุตดันแว่นขึ้นพลางพูดออกไป
นัทธีเอามือท้าวคางไว้“นายคิดจริงๆหรอว่าพิชญาเป็นคนออกแบบ?”
มารุตตะลึงไปครู่หนึ่ง“ท่านประธานหมายความว่า……”
“ถ้าพิชญาสามารถออกแบบเสื้อผ้าที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ ถ้ามีพรสวรรค์แบบนี้ หล่อนก็คงมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกไปแล้ว ทว่าทำไมตอนนี้ถึงยังไม่มีแม้แต่ผลงานชิ้นเอกเลยล่ะ”นัทธีแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็กำชับออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“นายไปสืบมา ว่าตั้งแต่เข้าร่วมการแข่งขันหล่อนได้ไปลอกเลียนแบบผลงานของดีไซเนอร์คนไหนมาบ้าง
“ครับ!”มารุตพยักหน้า แล้วออกไปจัดการทันที
นัทธีเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับกอดอกดูรายกายถ่ายทอดสดต่อ
ณ สนามแข่ง การลงคะแนนโหวตใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ผู้เข้าแข่งขันที่ถูกนายท่านวัชระเลือกออกมาทั้งสี่คนถูกจัดอันดับออกมาแล้ว พิชญาคะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่ง วารุณีเป็นอันดับสอง
นายท่านวัชระฉีกยิ้มร่าพร้อมกับหยิบไมค์ขึ้นมาพูด“ผู้ชนะทั้งสี่จากรอบการแข่งขันคัดเลือกแปดคนได้เกิดขึ้นแล้ว ฉันดีใจมากที่ทั้งสี่คนสามารถแสดงความโดดเด่นออกมาได้ ก่อนอื่นขอให้พวกเราทุกคนส่งเสียงปรบมือให้กับดีไซเนอร์ทั้งสี่คนหน่อย จากนั้นขอเชิญทั้งสี่คนขึ้นมาพูดอธิบายแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของตัวเอง”
พูดจบ คณะกรรมการ ผู้ชม สมาชิกของสมาคมและสื่อต่างๆในห้องประชุมต่างก็ปรบมือให้วารุณีกับอีกสามคนที่เหลือ
วารุณีกับดีไซเนอร์อีกคนหนึ่งลุกขึ้นมาพลางโค้งตัวน้อมรับด้วยรอยยิ้ม มีเพียงแต่พิชญาที่เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่ขาจึงไม่อาจลุกขึ้นมาได้ หล่อนโค้งตัวน้อมรับอยู่ในรถเข็นแทน
ทว่าขณะที่โค้งตัวลง สีหน้าของพิชญาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แถมยังแอบก่นด่านายท่านวัชระอยู่เงียบๆในใจ
บ้าเอ๊ย จบแล้วแท้ๆยังดันทุรังหาเรื่องอีก ต้องมาอธิบายแรงบันดาลใจบ้าบออะไรนี่อีกทำไม
แค่ประกาศว่าการแข่งขันรอบนี้สิ้นสุดลงแล้วมันจะตายรึไง?
“เวรเอ๊ย!”พิชญาโมโหจนกัดฟันกรอด แต่ยังคงสีหน้าเดิมไว้ เธอกำลังบังคับให้ตัวเองดูสงบนิ่งให้ได้มากที่สุด
แต่ถึงหล่อนจะซ่อนไว้ดีแค่ไหน วารุณีที่คอยสังเกตหล่อนอยู่ตลอดก็ดูออกว่าหล่อนกำลังมีปัญหา เนื่องจากว่ารอยยิ้มมันดูฝืนมากเกินไป
วารุณีกลอกตาไปมาพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าพิชญากำลังกังวลอะไรอยู่
จริงด้วย ผลงานการออกแบบที่ไม่ใช่ของตัวเอง จะอธิบายแรงบันดาลใจในการออกแบบออกมาได้ยังไงล่ะ?
เธอจะรอดูว่าอีกเดี๋ยวพิชญาจะจบเรื่องนี้ยังไง
คิดไปคิดมาวารุณีก็ยืดตัวตรงขึ้น จากนั้นก็หันความสนใจทั้งหมดจากพิชญามาตั้งใจฟังดีไซเนอร์ที่กำลังพูดอธิบายแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงานบนเวที
ดีไซเนอร์ที่อยู่บนเวทีคือผู้ที่ได้อันดับที่สี่ นายท่านวัชระใช้วิธีเรียงจากอันดับสุดท้ายขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้พูด
ไม่นานอันดับสี่และอันดับสามก็พูดจบ ในที่สุดก็ถึงตาวารุณี
วารุณีเดินขึ้นเวทีไปแล้วยื่นมือออกไปรับไมค์จากดีไซเนอร์ที่ได้อันดับที่สามมา หลังจากที่ส่งยิ้มให้กับผู้ชมด่านล้างแล้ว เธอก็เริ่มพูดอธิบายขึ้น“สำหรับแรงบันดาลใจในผลงานการออกแบบชิ้นนี้ ที่จริงมันง่ายมากเลยค่ะ ใครๆก็รู้ว่า เสื้อผ้าอาภรณ์ของชนเผ่ากลุ่มน้อยมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ เรื่องการเย็บปักถักร้อยและนอกจากเทคนิคในการเย็บปักถักร้อยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือสี……”
เมื่อมองไปยังวารุณีที่ดูท่าทางผ่อนคลายอยู่บนเวที พิชญาก็รู้สึกอิจฉาริษยาจนตาแดงก่ำ มือที่วางอยู่บนหน้าตักจับกระโปรงแน่นจนเกิดเป็นรอยยับหมดแล้ว
หล่อนกำลังคิดว่า ถ้าบนเวทีนั่นเป็นตัวเอง ถึงแม้ตัวเองจะเป็นคนออกแบบก็ตาม แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนวารุณีที่สามารถพูดอธิบายแรงบันดาลใจในการออกแบบออกมาได้อย่างถี่ยิบอยู่ดี
และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างหล่อนกับวารุณี ยิ่งวารุณีเก่งแค่ไหน มันก็เป็นตัวบ่งบอกว่าหล่อนไร้ความสามารถมากเพียงใด
วารุณีพูดอยู่บนเวทีเกือบสิบนาที ซึ่งในที่สุดก็จบลง
นายท่านวัชระเป็นคนนำปรบมือให้เธอ เนื่องจากเธอพูดได้ดีมาก แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเธอก็อธิบายได้หมด มันสร้างความประทับใจให้กับเขาได้มากเลย
“วารุณี เธอนี่ไม่เลวเลยนี่นา!”นายท่านวัชระมองไปที่วารุณี นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักและยอมรับในตัวเธอ
วารุณีก้มหัวรับพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความเขิน“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะคุณปู่วัชระ”
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก พรสวรรค์และฝีมือการออกแบบของเธอเหมาะที่จะได้รับคำชมแบบนี้แล้ว อีกอย่างดีไซเนอร์ในประเทศของเราก็มีจำนวนน้อยมากที่จะไต่เต้าขึ้นไปในเวทีระดับนานาชาติได้ วันนี้ฉันก็แก่แล้ว วงการการออกแบบในประเทศของพวกเราคงต้องพึ่งคนรุ่นพวกเธอแล้วล่ะ สู้ๆแล้วกัน!”นายท่านวัชระตบลงบนไหล่เธอพร้อมกับความคาดหวัง
วารุณีพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นก็เข้าไปกอดชายชราผู้นี้อย่างอดไม่ได้ เขาเป็นชายผู้ซึ่งพัฒนาธุรกิจการออกแบบภายในประเทศ“วางใจเถอะค่ะคุณปู่วัชระ หนูจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
“ฉันเชื่อใจเธอนะ”นายท่านวัชระกอดเธอกลับ
เมื่อนัทธีเห็นภาพนี้ เขาก็หมุนปากกาในมือไปมา
อย่าว่าแต่นายท่านวัชระเชื่อในตัววารุณีเลย เขาก็เชื่อเหมือนกัน ในอนาคตวารุณีจะต้องเป็นดีไซเนอร์อันดับหนึ่งในประเทศแน่นอน
วารุณีผละออกจากนายท่านวัชระ จากนั้นก็หันมามองจ้องไปที่พิชญาที่อยู่ด้านล่างเวที นัยน์ตาฉายแววดีใจออกมาแล้วยิ้มขึ้นอย่างเป็นมิตร“คุณพิชญา ฉันพูดจบแล้วค่ะ ถึงตาคุณขึ้นมาพูดแล้ว”
เมื่อพิชญาได้เผชิญหน้ากับสายตาของผู้ชมที่จ้องมองมา รวมไปถึงวารุณีที่กำลังเร่งให้หล่อนขึ้นไป รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากที่แอบกัดฟันกรอดเงียบๆหล่อนก็ทำได้เพียงแต่เข็นรถเข็นขึ้นไป
แต่เมื่อเข็นไปได้ครึ่งทาง จู่ๆหล่อนก็สีหน้าเปลี่ยนไป แถมยังก้มลงพลางเอามือกุมท้องไว้ จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน
การเปลี่ยนไปของหล่อนไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ชมในห้องประชุมตกใจกันยกใหญ่ แต่ยังทำให้ผู้ชมที่ดูผ่านถ่ายทอดสดตกใจไปตามๆกันด้วย ความคิดเห็นเริ่มหลั่งไหลเข้ามา‘เธอเป็นอะไรไปน่ะ’ แม้แต่วารุณีก็ตะลึงกับสถานการณ์ของพิชญาในตอนนี้ไปด้วย
“คุณพิชญา เป็นอะไรรึเปล่า?”เลขาฯ ภูมิได้สังเกตเห็นสีหน้าของนายท่านวัชระและประธานวรวี เขาจึงรีบเข้ามานั่งยองๆลงข้างๆพิชญา แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนใจ
พิชญาแอบบีบขาที่หักของเธออย่างแรง ความเจ็บปวดรวดร้าวจากขาที่หักแผ่ซ่านขึ้นมาทันที สีหน้าของเธอซีดเผือด บริเวณหน้าผากก็เหงื่อแตกพลั่ก เธอเอ่ยตอบด้วยเสียงหายใจอันโรยรา“ฉะ……ฉันปวดท้องมาก”
“ปวดท้องงั้นหรอ?”เลขาฯ ภูมิรีบมองไปที่ท้องของเธอ
พิชญาพยักหน้าลงด้วยความอ่อนแรง“ปวดเหมือนมีอะไรเจาะอยู่ในท้องเลย ไม่ไหว มันเจ็บเกินไปแล้ว!”
พูดจบ เธอก็กรีดร้องออกมาแล้วจู่ๆก็หมดสติไป
ทั้งห้องโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด ทางถ่ายทอดสดก็เช่นกัน วารุณีอ้าปากค้างเพราะตกใจที่อยู่ดีๆพิชญาก็หมดสติไป
ทว่ามีเพียงคนเดียวที่สงบนิ่งนั่นก็คือนัทธี คงจะมีแค่นัทธีคนเดียวแหละ เขาจ้องพิชญาที่เป็นลมหมดสติผ่านรายกายทอดสด จากนั้นก็หรี่ตาลงด้วยความสงสัย
สภาพพิชญาในตอนนี้ ทำให้เขานึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดในโรงพยาบาลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตอนนั้นที่เขากำลังพูดว่าจะถอนหมั้น จู่ๆพิชญาก็เป็นลมไปแบบนี้เช่นกัน ไม่แน่ครั้งนี้อาจจะเป็นเหมือนครั้งก่อน