พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 203 จับตัวไป
ก็เห็นตรงหน้า พิชญากับขยานีสองแม่ลูก ถูกกลุ่มคนล้อมเอาไว้
ในกลุ่มนั้น มีนักข่าวสองสามคนถือกล้องไว้ และตำรวจสองคนที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนคือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ขณะนี้ยืนอยู่ตรงหน้าของขยานีสองแม่ลูก มองดูพวกเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดี
“คุณขยานี โปรดหลีกไป!”
“ฉันไม่หลีก!” ขยานีก็เหมือนแม่ไก่ที่ปกป้องลูกไก่ กางแขนสองข้างขวางไว้ตรงหน้าของพิชญา เผชิญหน้ากับตำรวจสองคนด้วยอารมณ์ที่ดุเดือด ตะโกนพูด “ฉันไม่อนุญาตให้พวกคุณพาลูกสาวของฉันไปเด็ดขาด!”
“คุณขยานี การพาคุณพิชญาไปเป็นหน้าที่ของเรา ฉันขอเตือนให้คุณหลีกไป” ตำรวจผู้ชายกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าที่คร่ำเครียด
ขยานีส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ ฉันไม่หลีก พวกคุณจะจับตัวลูกสาวฉัน ฉันจะหลีกได้ยังไง!”
“คุณไม่หลีกก็เท่ากับว่ากำลังขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เราสามารถจับกุมคุณไปด้วย คุณรู้หรือเปล่า?” ตำรวจหญิงก็พูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีแล้ว
ขยานีเหมือนฟังไม่รู้เรื่องเลย เอาแต่กอดพิชญาที่นั่งอยู่บนรถเข็นเอาไว้ เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมหลีกทาง
เมื่อเห็นภาพที่แม่ลูกรักกัน วารุณียิ้มเยาะแล้วเดินเข้าไป เอาดอกไม้กับเหรียญรางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวางไว้ข้างๆ จากนั้นก็พูดขึ้น “คุณตำรวจ คนที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่ต้องสนใจเธอ พาไปด้วยเลย”
ได้ยินเสียงของเธอ พิชญาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที แววตาที่อาฆาตแค้นก็จับจ้องอยู่บนตัวเธอ
ขยานีก็เหมือนกัน ผละออกจากพิชญา ยื่นมือตบตีไปทางวารุณี “วารุณี แกมันชั่ว แกทำร้ายลูกสาวฉัน ฉันไม่มีทางปล่อยแกไปแน่!”
วารุณีขมวดคิ้วที่สวยงาม หลบการโจมตีของเธอ
เพราะการหลบเลี่ยงของวารุณี ทำให้ขยานีตีความว่างเปล่า จนร่างเซล้มลง คุกเข่าอยู่บนพื้น ทำให้ผิวเข่าแตก เธอเจ็บจนกรีดร้องขึ้นมา
ผู้คนที่อยู่ข้างๆต่างตกตะลึงกันไปหมด
เมื่อรู้สึกตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน้าบึ้งตึงก็อดหัวเราะไม่ได้ นักข่าวพวกนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ได้ลั่นชัตเตอร์ถ่ายขยานีที่ร้องอย่างเจ็บปวด
วารุณีมองขยานีอย่างเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจและขยะแขยง
คนโง่คนนี้ช่างไม่เอาไหนเลยจริงๆ
แค่ตีคนยังตีไม่โดน กลับล้มซักงั้น ขายหน้าฉิบเป๋งเลย!
วารุณีเลิกคิ้วแล้วเดินไปตรงหน้าของขยานี วารุณีที่ยืนอยู่มองเธอที่ล้มอยู่บนพื้น “ยังไม่ถึงวันสงกรานต์เลยนะ คุณน้าขยานีก็จะมากราบฉันละ ฉันรับไม่ได้หรอก ลุกขึ้นเถอะค่ะ”
ขณะที่พูด วารุณีก็ได้ยื่นมือออกไป ทำเหมือนจะไปพยุงขยานีขึ้นมา
“ใครจะให้แกพยุง!” ขยานีที่อับอายปัดมือของเธอออก ตัวเองอดทนต่อความเจ็บแล้วลุกขึ้นมา
หลังจากลุกขึ้นมา ขยานีก็เห็นวารุณีที่อยู่ใกล้กับตัวเองมาก แววตากะพริบผ่านด้วยแสงที่ดุร้าย จากนั้นก็ชูฝ่ามือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตบไปที่ใบหน้าของวารุณี
รูม่านตาของวารุณีหดลง หลบหน้าโดยสัญชาตญาณ
เธอรอดพ้นจากฝ่ามืออันตรายนั้นอย่างหวุดหวิด แต่ว่าไหล่ของเธอกลับถูกขยานีตบเข้าให้
เสียงเพี้ยะดังขึ้นมาหนึ่งที เสียงก้องกังวานมาก
การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้คนที่อยู่รอบข้างต่างตกตะลึง
มีเพียงแต่พิชญาที่หัวเราะอย่างดีใจ
ฝ่ามือนี้ของขยานี ได้ตบลงไปอย่างเต็มกำลัง วารุณีรู้เพียงแต่ว่าไหล่ของเธอนั้นร้อนวูบวาบ เจ็บจนทนไม่ไหว
หากไม่ใช่เพราะเธอหลบได้ทันเวลา หลบได้เร็ว ฝ่ามือนี้ขอขยานี คงได้ตบไปที่ใบหน้าของเธออย่างแน่นอน เลือดคงกบปากในทันที!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาที่งดงามสุกสกาวของวารุณีเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าเย็นชาถึงขีดสุด “คุณตำรวจ ฉันจะแจ้งความ ฉันจะแจ้งความเธอในข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกาย!”
เธอใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่เอาไว้ มืออีกข้างชี้ไปที่ขยานี
ตำรวจสองนายยังไม่ทันได้พูด ขยานีก็ลนลานแล้ว ตะโกนพูดอย่างเสียงดัง “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกพูดเพ้อเจ้ออะไร อะไรคือเจตนาทำร้าย ฉันก็แค่ตบแกไปหนึ่งฝ่ามือ ถึงขนาดจะถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเลย!”
วารุณีเหลือบมองพิชญาที่หน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ้มเยาะ “คุณน้ากับพิชญานี่ไม่เสียทีที่เป็นแม่ลูกกันเลยจริงๆ เรื่องผิดกฎหมาย ยังสามารถทำได้คล่องมือขนาดนี้ ฉันจะบอกให้นะ ขอเพียงคุณลงมือทำร้ายฉัน มันก็คือเจตนา เข้าใจยัง?”
“คุณผู้หญิงคนนี้พูดถูก คุณทุบตีเธอ เธอสามารถฟ้องคุณในข้อหาทำร้ายร่างกายโดยเจตนา หากคุณทุบตีเธออย่างรุนแรง เธอไปตรวจชันสูตรบาดแผล คุณอาจจะถูกกักขังเป็นเวลาห้าสิบวัน ตำรวจหญิงหมั่นไส้ขยานีมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินคำพูดของวารุณี ก็เลยลุกขึ้นมายืนยัน
ขณะนี้ใบหน้าของขยานีตกใจจนซีดไปแล้ว น้ำเสียงก็ตะกุกตะกัก “ทำ……..ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
เธอก็แค่ตบวารุณีไปเพียงหนึ่งฝ่ามือ ทำไมถึงตบจนตัวเองต้องเข้าโรงพักล่ะ?
“คุณตำรวจ รบกวนคุณพาพวกเธอไปด้วย เดี๋ยวฉันจะไปชันสูตรบาดแผลที่โรงพยาบาล จากนั้นจะเอาใบชันสูตรบาดแผลไปให้พวกคุณ” วารุณียิ้มพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายพยักหน้า จากนั้นก็ได้พาตัวพิชญาและขยานีที่กำลังอึ้งไป
ก่อนที่จะไป พิชญายังได้หันหน้ากลับมา มองวารุณีด้วยสายตาที่มืดมน ราวกับว่าจะจดจำวารุณีไว้ในใจอย่างไรอย่างนั้น
วารุณีก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งรถตำรวจไปแล้ว เธอจึงได้เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า กลายเป็นสีหน้าที่เจ็บปวดขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันหน้าไปดึงเสื้อตรงไหลลงมา
มองดูหัวไหล่ที่บวมแดง วารุณีอดไม่ได้ที่หายใจเข้าลึกๆ
ขยานีลงมือได้หนักมาก ไหล่ก็บวมขึ้นมาแล้ว คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันหรือครึ่งเดือน ถึงจะหาย
รอก่อนเถอะ การคุมขังนี้ เธอต้องให้ขยานีถูกคุมขังจนกลัวไปเลย!
ขณะที่คิด วารุณีก็ดึงเสื้อขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ได้ไปหยิบดอกไม้และของที่อยู่ในถุงขึ้น เดินไปตรงที่จอดรถ
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง วารุณีก็มาถึงที่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมพงศกรก่อน
เมื่อไปถึง ในห้องผู้ป่วยมีเพียงพงศกรกับเด็กสองคน ปาจรีย์ไม่อยู่แล้ว
เด็กทั้งสองคนที่ห่มผ้าห่มไว้ กำลังหลับสบายอยู่บนโซฟา
วารุณีอดไม่ได้ที่จะยิ้มไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่เตียงผู้ป่วย “พงศกร”
“วารุณี คุณมาแล้ว” พงศกรวางหนังสือที่อยู่ในมือลง ยิ้มให้กับวารุณีที่อยู่หน้าประตูอย่างอ่อนโยน
วารุณีตอบรับไปหนึ่งที ก็ปิดประตูอย่างเบามือ “ปาจรีย์ล่ะ?”
รอยยิ้มของพงศกรจางหายไปครู่หนึ่ง “พ่อแม่ของเธอบอกว่าทางบ้านมีธุระ ให้เธอกลับไป”
“อย่างนี้นี่เอง” วารุณีพยักหน้า เดินไปข้างเตียงแล้วนั่งลง
รอยยิ้มบนใบหน้าของพงศกรกลับมาอีกครั้ง “ยินดีด้วยนะวารุณี ที่คุณชนะในการแข่งขัน”
“ขอบใจจ้า” วารุณีม้วนผมอย่างอายๆ
พงศกรเอาหนังสือไปวางบนหัวเตียง “ผมอยากจะเข้าห้องน้ำพอดีเลย วารุณี คุณพยุงผมไปหน่อยได้มั้ย?”
“ได้สิ!” วารุณีตอบทันที ลุกขึ้นมาก็จะพยุงเขา
แต่เมื่อพงศกรลงมาจากเตียงแล้ว ก็ได้เอามือไปพาดไว้บนไหล่ของวารุณี
จู่ๆวารุณีร้องจี๊ดขึ้นมาหนึ่งที
พงศกรได้ยินแล้ว แววตาที่ลึกซึ้งก็หายไปทันที แทนที่ด้วยแววตาที่ตกใจเล็กน้อย “วารุณี คุณเป็นอะไร?”
“คุณโดนแผลตรงไหล่ของฉันน่ะ” วารุณีตอบพร้อมกับสีหน้าที่ซีดลงเล็กน้อย
“แผล?” พงศกรตกใจก่อน จากนั้นก็หรี่ตาลง “มาให้ผมดูหน่อย”
วารุณีก็ไม่ได้ปฏิเสธ ดึงเสื้อออกเพื่อให้ไหล่โผล่ออกมา
เห็นไหล่ของเธอบวมขึ้นมาแล้ว ดวงตาของพงศกรที่อยู่หลังเลนส์แว่น ก็ฉายแววเย็นชา “ใครเป็นคนทำ”
“ก็ขยานีไง เธอมาโทษฉันว่าฉันทำให้พิชญาถูกจับ จึงได้ตบฉัน เดิมเธอคิดจะตบหน้าของฉัน แต่ฉันหลบทัน จึงตีโดนไหลของฉันน่ะ” วารุณีถอนหายใจพูด
“หากดูจากแผลบนไหล่ ขยานีคงอยากจะทำให้เธอเสียโฉม” พงศกรพูดอย่างเย็นชา
วารุณีทำท่ายักไหล่ “คงงั้นแหละ แต่ว่าฉันก็ได้แจ้งข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกาย และได้ส่งตัวเธอไปที่สถานีตำรวจแล้ว ดังนั้นตอนนี้นอกจากที่ฉันจะมารับลูกแล้ว ยังจะต้องไปตรวจชันสูตรบาดแผล จะได้แจ้งข้อหาขยานีง่ายหน่อย”
“งั้นคุณก็รีบไปเถอะ” พงศกรยกคางชี้
“แต่คุณจะ…….”
“ผมไม่เป็นไร ผมเกาะกำแพงเดินเองได้ วางใจเถอะ” พงศกรยิ้มให้เธอ
วารุณีจึงไม่ดึงดันต่อ พยักหน้า ออกไปจากห้องผู้ป่วย เดินไปแผนกศัลยกรรม