พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 21 ภาพที่สวยงาม
นัทธีระงับอารมณ์ “เรื่องอะไร?”
วารุณีมองไปที่เขา “ผ้าผืนนี้ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร ประธานนัทธี คุณมีไฟแช็กไหมคะ ?”
แม้นัทธีจะไม่รู้ว่าเธอต้องการไฟแช็กไปทำไม แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก หยิบไฟแช็กในกระเป๋าออกมาแล้วยื่นให้เธอ
วารุณีกล่าวขอบคุณ และให้ผู้ช่วยอีกคนเอาน้ำมาแก้วหนึ่ง
เมื่อน้ำมาถึง เธอยกผ้าผืนที่ไม่แน่ใจนั้นขึ้นมา แล้วจุดไฟไปที่มุมหนึ่งของผ้าผืนนั้น
แล้วรอจนมุมนั้นมอดไหม้จนดำ จากนั้นก็แช่ลงในน้ำให้มอดดับ แล้วเอามันขึ้นมาดม
หลังจากที่ดมไปชั่วครู่ เธอก็ยิ้มออกมาอย่างมีคำตอบในใจ แล้วอธิบายไปว่า“เพราะวัสดุของผ้านั้นแตกต่างกัน และกลิ่นการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นก็ไม่เหมือนกัน บางครั้งในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจแบบนี้ ก็สามารถใช้วิธีการเผาแยกแยะชนิดเนื้อผ้าได้ ”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง !
ในที่สุดนัทธีก็รู้จุดประสงค์ที่เธอขอไฟแช็กไป
วารุณีสลัดผ้าออก “ ผ้าผืนนี้เป็นผ้ารุ่นใหม่ ดูจากลายเส้นแล้ว น่าจะใช้เทคโนโลยีสามมิติโดยการนำไฟเบอร์กับหนังทอเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นลวดลายบนผิวผ้าจึงให้ผลภาพเสมือนจริงมาก หากฉันเดาไม่ผิด ชื่อของมันเรียกว่าแก้วสีน้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ช่วยทั้งสองก็รีบไปค้นดูเอกสารของที่เข้าโกดัง มีชื่อของแก้วสีน้ำจริงๆด้วย ดูจากรูปภาพ ก็คือผืนที่อยู่ในมือของเธอ
“คุณเคยเห็นมันมาก่อนเหรอ ?”นัทธีเอ่ยถาม
วารุณีส่ายหัว “ไม่เคยค่ะ แต่ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้จากอาจารย์ของฉัน ไม่คิดว่าที่ประธานนัทธีจะมีมันด้วย เป็นยังไงคะ สวยไหม ?”
เธอนำเอาผ้าผืนที่ราวกับม่านน้ำขาวเนียนมาคลุมบนร่างเธอ แล้วหมุนตัวไปรอบหนึ่ง
ผืนผ้าที่ระยิบระยับ กับรูปลักษณ์ที่สวยสดงดงาม ของขัดตาทั้งสองอย่างที่น่าจะขัดแย้งกัน แต่ในตอนนี้กลับถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ราวกับภูติตัวน้อย ทำให้โกดังที่ค่อนข้างมืดสลัวกลับมีแสงสว่างขึ้นมาทันที
ภาพที่สวยงาม ทุกอย่างรวมอยู่ในนี้แล้ว
ผู้ช่วยทั้งสองคนต่างก็ตะลึงจนตาค้าง
แม้นัทธีจะไม่ได้รู้สึกถึงขั้นนั้น แต่ดวงตาที่ปรกติจะเย็นชานั้นก็ไหววูบเล็กน้อย
แต่เพียงไม่นานเขาก็รู้ตัวว่าเสียมารยาท จึงเบี่ยงสายตาออก แล้วพูดเสียงเรียบว่า“ใช้ได้ ก็สวยดี ”
“ผ้าชนิดนี้ทำเป็นชุดราตรีน่าจะเหมาะที่สุด”วารุณีไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปรกติของนัทธี จากนั้นจึงเก็บผ้าเข้าที่
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ผ้าทั้งหมดก็ได้ถูกจัดเก็บเข้าที่
ลูกค้าที่นัทธีได้พูดถึง ก็ได้มารับผ้าเหล่านี้ไปแล้ว
วารุณีทำงานเสร็จก็กลับไปยังที่ทำงาน นักออกแบบทุกคนต่างก็เดินเข้ามาหาเธอ จนล้อมหน้าล้อมหลังเธอเต็มไปหมด
“วารุณี เราได้ยินที่ครามกับชินโตพูดแล้ว พวกเขาบอกว่าเธอแค่สัมผัสและจับก็สามารถแยกแยะเนื้อผ้าได้แล้ว เธอทำได้ยังไงกัน ?”
ครามกับชินโต ก็คือผู้ช่วยชั่วคราวที่นัทธีได้แต่งตั้งให้กับวารุณี
“ใช่ เธอนี่เก่งจริงๆ บอกเราหน่อยสิ ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วารุณีก็ไม่ได้ประหลาดใจเท่าไร พูดอย่างช้าๆไปว่า“อาจารย์ฉันเป็นคนสอน ก่อนที่อาจารย์จะสอนฉันออกแบบเสื้อผ้า ก็จะสอนฉันให้รู้จักกับเนื้อผ้าทุกชนิด และยังพูดอีกว่าเมื่อเราเห็นผ้าชิ้นหนึ่งแล้วสามารถแยกแยะมันได้ อีกทั้งยังออกแบบรูปทรงเสื้อผ้าได้ นั่นถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบเสื้อผ้า”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึง ในใจก็คิดสมควรแล้วที่จะมาจากซาชิโอ แนวความคิดในการสอนนั้นแตกต่างจากของประเทศจีนจริงๆ……
“พวกคุณกำลังทำอะไรกัน ? ล้อมวงประชุมกันอยู่เหรอ?”เสียงคำรามด้วยความโกรธของพิชญาก็ดังขึ้นมา
ทุกคนต่างไม่กล้าห้อมล้อมกันอยู่อีก แยกย้ายสลายตัวไปยังที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นาน ที่ตรงนั้นก็เหลือเพียงวารุณีคนเดียว
พิชญาที่ใบหน้าเคร่งขรึมก็เดินเข้ามายังที่ที่เธอยืนอยู่ “เธอตามฉันมา”
“ขอโทษด้วยนะคะผู้จัดการพิชญา ฉันยังมีงานที่ค้างอยู่ ”วารุณียิ้มแล้วตีไปที่อ้อมอกที่ถือแฟ้มเอกสารอยู่
ตอนนี้เธออยากที่จะทำความเข้าใจกับโครงการ Bath fire rebirth ร่างแบบเบื้องต้นออกมาแต่เนิ่นๆ ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับพิชญามากนัก
อีกทั้งดูจากสีหน้าของพิชญา เรียกเธอไปก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร
การปฏิเสธของวารุณีทำให้พิชญาเสียหน้าไม่น้อย หางตาเธอกระตุก “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่างานอะไร !”
เธอคว้าไปที่แฟ้มและเปิดมันออกดู เมื่อเห็นเนื้อหาข้างใน หน้าตาก็บูดเบี้ยวทันที“นัทธีเอาโครงการ Bath fire rebirthให้เธองั้นเหรอ?”
พิชญาดวงตาแดงก่ำ
เธอรู้เรื่องโครงการนี้ และใจจดจ่ออยากจะได้โครงการนี้มา แต่นัทธีปฏิเสธ และยังบอกอีกว่าได้ขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศแล้ว
ไม่คิดว่าความช่วยเหลือที่ขอจากต่างประเทศนั้นก็คือวารุณี !
ไม่ได้ เธอต้องไปถามให้รู้เรื่อง ทำไมต้องเป็นวารุณีแทนที่จะเป็นเธอ!
พิชญาบีบมือแน่น หลังจากที่นัยน์ตาซ่อนความอิจฉาจับจ้องมองไปยังวารุณีแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของท่านประธาน
ทันทีที่เดินมาถึงที่หน้าประตู ก็ได้ยินเสียงดังเล็ดลอดมาจากในห้องที่ประตูปิดไม่สนิท
“ท่านประธาน เด็กที่เราพบเมื่อครั้งที่แล้ว ผมได้ไปเช็กมาแล้ว ”