พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 217 ฟ้องร้อง
“โอเค”ปาจรีย์พยักหน้า หยิบโทรศัพท์กับนามบัตรออกมา โทรหามารุต
ตอนที่เธอโทรศัพท์ จู่ๆวารุณีก็หยิบรายชื่อฉบับหนึ่งในกระเป๋าขึ้นมาโชว์กลางอากาศ มองนักข่าวด้านล่างเวที“ทุกท่านคะ วันนี้เนื้อหาที่ฉันจะพูดในงานแถลงข่าว ก็มีอยู่เท่านี้ค่ะ เหลือแค่เรื่องสุดท้าย นั่นก็คือรายชื่อบัญชีปล่อยข่าวเสียหายกับชาวเน็ตที่อยู่ในมือฉันนี้ จะถูกฉันฟ้องร้อง”
“ฟ้องร้อง?”นักข่าวด้านล่างเวทีกับผู้ชมในห้องถ่ายทอดสดต่างตะลึง
วารุณีเม้มริมฝีปากแดงๆ“ถูกต้อง บัญชีปล่อยข่าวเสียหายพวกนี้จงใจระดมคนให้มาพูดจาให้ร้ายฉันบนอินเทอร์เน็ต และก็ชาวเน็ตพวกนี้ด้วย คำด่าของพวกเขาได้รับการสนับสนุนกดถูกใจมากมายจากชาวเน็ต พวกนี้ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อฉัน ถ้าฉันไม่ฟ้องพวกเขา ก็รู้สึกแย่กับตัวเอง ฉันไม่อาจให้พวกเขาด่าฟรีๆได้!”
“แต่ว่าคุณวารุณี คนตั้งมากมาย จะเกินไปหน่อยไหมครับ?”มีนักข่าวคิดว่าเธอทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
ก็ไม่ใช่ว่าถูกโจมตีทางอินเทอร์เน็ตเหรอ ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เชียว?
มีจิตใจอาฆาตหนักไปแล้ว!
“เกินไป?”วารุณีแสยะมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา“ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำเกินไปนะ ตอนที่พวกเขาด่าฉัน ทำไมคุณไม่บอกพวกเขาล่ะว่าทำเกินไป?”
“ผม……”นักข่าวคนนั้นก็พูดไม่ออกทันที
วารุณีไม่มองเขาอีก ละสายตากลับไป“ทุกๆคน จะต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่ตัวเองทำ ตอนที่พวกเขาด่าอย่างสนุกปากในเน็ต ก็ควรจะคิดบ้างว่าจะต้องมีวันนี้ ฉันไม่กลัวพวกเขาที่มีพวกเยอะหรอกค่ะ ฉันว่างพอที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับพวกเขา!”
ความแข็งแกร่งของวารุณี ทำให้นักข่าวในที่นั้น กับผู้ชมในห้องถ่ายทอดสดต่างตระหนักได้อย่างดี ว่าไปยุ่งกับเธอด้วยไม่ได้
“โอเค ที่ฉันควรพูดก็พูดไปหมดแล้วนะคะ”วารุณีปรบมือ“ต่อไปประธานบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็จะเปิดงานแถลงข่าว ทุกคนต่างรู้ว่า สุภัทรใส่ร้ายฉันกับประธานนัทธี ดังนั้นทางด้านประธานนัทธี ก็จะออกมาชี้แจง ถ้าทุกคนสนใจก็ไปดูได้ค่ะ”
เธอเพิ่งพูดจบ นักข่าวด้านล่างก็วิ่งออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ส่วนที่เหลืออยู่นั้น ไม่ใช่แค่ไม่ตื่นตระหนกรีบร้อน แต่ยังปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเพื่อนร่วมงานที่ไปแล้ว
“วารุณี ติดต่อแล้ว”ปาจรีย์โทรศัพท์เสร็จ วางโทรศัพท์ลงพูดว่า:“ผู้ช่วยมารุตบอกว่าพวกเขาเริ่มแล้ว”
“ฉันรู้แล้ว”วารุณีตอบกลับอย่างงแผ่วเบา เดินไปเคาะสองสามทีที่ตรงหน้าโน้ตบุ๊คของเธอ จากนั้นหน้าจอใหญ่ก็ปรากฏถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวของนัทธี
นัทธีนั่งอยู่ตำแหน่งประธานของห้องประชุม มองเลนส์ด้วยสีหน้าเย็นชา เริ่มพูดเสียงหม่นไป“ในเมื่อคุณวารุณีอธิบายชัดเจนดีมากแล้ว งั้นผมก็จะไม่พูดซ้ำ ตั้งแต่วันนี้ไป ผมจะคว่ำบาตรบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปทั้งหมด เพื่อเป็นการแก้แค้นของผมต่อสุภัทร”
ไม่มีใครรู้สึกว่าวิธีทางของเขาผิด ถ้าเป็นพวกเขา พวกเขาก็จะทำเช่นนี้
ยังไงถูกคนใส่ร้ายโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ ในใจใครจะมีความสุขได้?
แต่ด้านล่างก็ยังมีคนถามว่า“ประธานนัทธี ถึงแม้ระหว่างคุณกับคุณวารุณีไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น งั้นสาเหตุที่แท้จริงที่คุณถอนหมั้นกับพิชญาเป็นเพราะอะไร?”
นัทธีปรับไมค์ตั้งโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย“สาเหตุผมเคยพูดไปแล้วตอนที่ยกเลิกการหมั้น เพราะว่าเธอร้ายกาจ ก่อนหน้านี้เธอใส่ร้ายคุณวารุณีอยู่หลายครั้ง สอนไปหลายหนก็ไม่จำจนผมรับไม่ได้แล้ว นอกจากนี้ เธอยังมีความสัมพันธ์กับคนอื่นจำนวนมาก”
มีความสัมพันธ์กับคนอื่นจำนวนมาก?
คำไม่กี่คำนี้ ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์อย่างมาก สายตาที่คนบางกลุ่มมองนัทธี ก็ยิ่งรู้สึกแปลก
แม้แต่วารุณีก็ตะลึง
จู่ๆเขาพูดแบบนี้ พูดเรื่องที่พิชญาแอบนอกใจเขาออกมา เขาไม่กลัวถูกคนนินทาเหรอ?
นัทธีไม่รู้ว่าวารุณีจะห่วงอะไรเขา ถึงรู้ ก็ไม่สนใจ
ยังไงที่ขายขี้หน้าก็เป็นพิชญา ไม่ใช่เขา
ถึงคนนอกจะพูด ก็ไม่กล้าพูดต่อหน้าเขา
“โอเค งานแถลงข่าวในวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ ตามนี้นะครับ!”พูดจบ นัทธีก็ปล่อยไมค์ตั้งโต๊ะออก เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยืนขึ้นมา เดินออกไปจากห้องประชุม
มารุตไม่ได้ตามไป แต่อยู่ที่นี่ จัดการผู้คนให้ออกไปจากตรงนี้
คนที่ดูถ่ายทอดสดก็ตะลึง งานแถลงข่าวที่รวบรัดขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็น
วารุณีก็ตะลึงเล็กน้อยกับงานแถลงข่าวที่แสนสั้นอย่างนี้ แต่ว่าแป๊บเดียวก็กลับไปนิ่งเหมือนเดิม
เฉียบขาดแบบนี้ สอดคล้องกับนิสัยของนัทธีจริงๆ
วารุณีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นปิดหน้าจอใหญ่ด้านหลังทิ้ง และจัดการให้นักข่าวคนอื่นๆออกไป
แป๊บเดียว ในสตูดิโอก็เหลือแค่เธอกับปาจรีย์สองคน
ปาจรีย์เงยหน้าขึ้นมาจากโน้ตบุ๊คตรงหน้า“วารุณี เยี่ยมมาก ความเห็นพวกนั้นที่ด่าเธอในเน็ต ลบออกจนไม่เหลือแล้ว”
“ธรรมดานี่ พอฉันชี้แจงไป ชาวเน็ตที่รู้สึกผิดบางส่วนก็จะลบเอง คนอื่นที่ไม่อยากลบ ได้ยินว่าฉันเตรียมจะฟ้องร้อง ก็จะไปลบเอง เชื่อว่าไม่นานหรอก ความเห็นที่ด่าฉันพวกนี้ก็จะไม่เหลือสักอัน”วารุณีถือแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พูดด้วยรอยยิ้ม
ที่งานแถลงข่าว เธอพูดไปตั้งเยอะ จนกระหายจะตายอยู่แล้ว
จู่ๆ โทรศัพท์ที่เธอวางอยู่ข้างโน้ตบุ๊คก็ดังขึ้นมา
ปาจรีย์มองแวบหนึ่ง“สถานีตำรวจโทรมา”
“เอาให้ฉัน”วารุณียื่นมือไป
ปาจรีย์ยื่นมือถือให้เธอ
เธอรับแล้วเอาไว้ข้างหู“สวัสดีค่ะ ฉันวารุณีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณวารุณี คำตัดสินเกี่ยวกับขยานีมาแล้ว ความผิดทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา ต้องทำการกักขังเป็นเวลาสิบวัน อีกอย่างทางด้านพิชญา ศาลได้ตัดสินแล้วว่าจะพิจารณาคดีในอีกสามวันข้างหน้า หวังว่าถึงตอนนั้นจะเข้าร่วมตรงเวลานะครับ”ตำรวจที่อยู่ปลายสายพูด
วารุณีพยักหน้า“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
โทรศัพท์เสร็จ เธอก็วางโทรศัพท์ลง พูดเนื้อหาที่คุยโทรศัพท์ออกมา
ปาจรีย์ฟังจบ ก็เบะปาก“แค่สิบวัน เสียเปรียบเธอจริงๆ”
“เอาน่ะ เธอจะกลับไปโรงพยาบาลไหม?”วารุณีมองเธอแล้วถาม
ปาจรีย์ปิดโน้ตบุ๊ค“ใช่”
“งั้นเธอก็แวะศาล แล้วส่งรายชื่อพวกนี้ไปหน่อยสิ รอหลังพิจารณาคดีของขยานีแล้ว ก็พิจารณาบัญชีปล่อยข่าวเสียหายกับชาวเน็ตพวกนั้นต่อเลย”วารุณีเอารายชื่อยื่นให้เธอ
“โอเค งั้นฉันไปนะ!”ปาจรีย์รับรายชื่อไว้ หยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วออกไป
วารุณีก็ไม่ได้อยู่ที่สตูดิโอนานมากนัก หลังจากแจ้งพวกดีไซเนอร์ให้กลับมาทำงานก็เตรียมจะออกไป
ยังไงลูกทั้งสองคนก็ยังอยู่อพาร์ทเม้นท์ เธอไม่กลับไปก็ไม่วางใจ
ตอนนี้เอง จู่ๆประตูสตูดิโอก็มีคนเคาะ ยามที่สวมชุดยูนิฟอร์มคนหนึ่งยานหน้าเข้ามา“คุณวารุณีครับ พัสดุ EMSของคุณ”
“พัสดุ EMS?”วารุณีที่กำลังจัดโต๊ะก็ชะงัก เงยหน้ามองไป“ใครส่งมา?”
“เป็นภาษาอังกฤษ ผมไม่รู้จัก”ยามลูบจมูกพูดไปอย่างเขินอาย
วารุณียิ้ม แล้วเดินเข้าไป“เอามาให้ฉันละกันค่ะ”
ยามยื่นพัสดุ EMSให้เธอด้วยมือสองข้าง
พัสดุ EMSเป็นจดหมายฉบับใหญ่ และยังหนา ไม่รู้ว่าด้านในเป็นอะไร
“ขอบคุณค่ะ”วารุณียิ้มแล้วขอบคุณให้ยาม
ยามโบกมือให้ แล้วก็ขอตัวลา
วารุณีเดินไปด้านใน พร้อมกับพลิกหน้าจดหมาย ดูข้อมูลคนส่ง
พอดูแล้ว ดวงตาของเธอเบิกโตทันที อุดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ
พระเจ้า เธอเห็นแล้ว ชื่อของMr.Dylan!
พัสดุ EMSฉบับนี้เป็นMr.Dylanส่งมา!
วารุณีกำมืออย่างตื่นเต้นแล้วกระโดดโลดเต้นตรงนั้น ใบหน้าปกปิดความปีติไว้ไม่อยู่
ถ้าไม่ใช่ว่าส่งผลไม่ดีต่อภาพลักษณ์ เธอก็อยากจะตะโกนสักสองสามที เพื่อแสดงความตื่นเต้นในใจ
สักพักหนึ่ง ในใจวารุณีก็สงบลงเล็กน้อย เธอตบหน้าอก ถอนหายใจเล็กน้อย เปิดจดหมายออก
การ์ดเชิญสีดำที่ดูดีใบหนึ่งหล่นออกมาจากด้านใน ตกไปที่พื้น
วารุณีรีบก้มเอวหยิบขึ้นมา ตบฝุ่นด้านบนแล้ว จากนั้นเปิดอย่างระวัง แล้วพูดด้วยความตกใจ:“นี่ไม่ใช่จดหมายเชิญของนิทรรศการที่เมื่อคืนประธานนัทธีได้รับเหรอ?”