พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 220 ขัดขวางการไปศาล
เช้าวันนั้น วารุณีกำลังกินอาหารเช้าอยู่ จู่ๆก็มีสายหนึ่งโทรมา
เธอวางตะเกียบลงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เห็นเป็นประธานวรวีโทรมา จึงรีบรับ
“ปาจรีย์ เตรียมข้อมูลเรียบร้อยหรือยัง ตอนบ่ายมาศาลกี่โมงครับ?”ประธานวรวีถามอยู่ที่ปลายสาย
วารุณีมองซองเอกสารบนโต๊ะน้ำชา ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า:“เตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ บ่ายโมงจะขับรถไปนะคะ”
“งั้นก็ดี ตอนที่ถึงโทรกลับหาผมด้วย ผมจะให้คนไปรับคุณ พวกเรารวมตัวกันหน่อย ทางด้านผมมีดีไซเนอร์สองสามคนที่ถูกพิชญาคัดลอกผลงานมาด้วย อยากเจอคุณเพื่อเข้าใจสถานการณ์หน่อย”ประธานวรวีพูด
วารุณีตอบอือกลับไป“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
โทรศัพท์เสร็จ เธอก็วางโทรศัพท์ลง
นัทธีที่อยู่ตรงข้ามกำลังแบ่งฮะเก๋าอันหนึ่งให้ไอริณกับอารัณ ถามว่า:“ใครโทรมา?”
“ประธานวรวีค่ะ”หลังจากวารุณีเอาเนื้อหาในโทรศัพท์พูดออกไปรอบหนึ่งแล้ว ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาจะคีบกินใหม่อีกครั้ง
จู่ๆ ตะเกียบคู่หนึ่งก็ยื่นเข้ามา จากนั้นเธอก็เห็นในจานของตัวเองมีฮะเก๋าอันหนึ่งเพิ่มเข้ามา
“ขอบคุณค่ะ”วารุณีตะลึงก่อน จากนั้นยิ้มให้นัทธี แล้วพูดขอบคุณ
ตั้งแต่เมื่อวันก่อน ลูกสองคนก็เรียกเขามากินอาหารเช้าได้ตรงเวลาทุกวัน เธอจะขัดขวางก็หมดหนทาง
ใครให้สามวันนี้เป็นเขาที่ส่งเด็กสองคนนี้ไปโรงเรียนเองล่ะ
“ไม่ต้องขอบคุณ รีบกินเถอะ”นัทธีไม่รู้ว่าในใจวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ เอาตะเกียบกลับไปอย่างนิ่งเฉย
วารุณีพยักหน้า คีบซาลาเปาในจานขึ้นมากัดคำหนึ่ง ค่อยๆกินไป
นัทธีเห็นแบบนี้ คิ้วก็อ่อนโยนลง จากนั้นก็คีบให้ตัวเองอันหนึ่ง
กินอาหารเช้าเสร็จ
หลังจากวารุณีสะพายกระเป๋าหนังสือเล็กๆให้ลูกทั้งสองคนแล้ว ก็ดันลูกทั้งสองไปตรงหน้านัทธี“ประธานนัทธี วันนี้ก็ฝากพวกเขาไว้กับคุณด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหา งั้นพวกเราไปก่อนนะ”นัทธีจูงเด็กสองคนออกไป
วารุณีตามออกไปส่งพวกเขา
มาถึงหน้าลิฟต์ จู่ๆนัทธีก็คิดอะไรขึ้นได้ หยุดฝีเท้าลงเงยมองเธอเล็กน้อย“วันนี้เป็นวันพิจารณาคดีที่พิชญาคัดลอกผลงาน สุภัทรจะต้องไปฟังด้วยแน่ คุณต้องระวังเขา ผมเป็นห่วงว่าหลังจากที่ผลตัดสินออกมาแล้ว เขาจะเหมือนอย่างขยานีก่อนหน้านี้ ระบายความโกรธใส่คุณ”
ได้ยินคำพูดกำชับที่จริงจังของเขา ในใจวารุณีก็รู้สึกอบอุ่น ทัดผมเล็กน้อยตอบกลับว่า:“วางใจเถอะประธานนัทธี ฉันจะระวังค่ะ”
นัทธีเห็นเธอฟังคำพูดของตัวเอง ก็ตอบอือกลับไป และไม่พูดอะไรมาก มือข้างซ้ายข้างขวาจูงเด็กสองคนเข้าไปในลิฟต์
หลังจากพวกเขาไป วารุณีก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมนานนัก หันกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์ ทำธุระของตัวเอง
จัดการอะไรเสร็จจนเที่ยงยี่สิบนาที เธอก็วางอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าในมือลง ไปต้มบะหมี่ชามหนึ่งให้ตัวเองกิน จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกจากบ้านไปศาล
“หือ?”อย่างไรก็ตามตอนที่วารุณีถือกระเป๋า เพิ่งออกมาจากอาคารอพาร์ทเม้นท์ไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆเธอก็รู้สึกว่ามีคนมองตัวเองอยู่ และสายตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ
วารุณีหยุดฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว มองไปทางสายตาที่ส่งมานี้ มองเห็นข้างแปลงดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลตรงหน้า มีผู้ชายสองสามคนที่แต่งตัวและทรงผมล้วนเป็นสไตล์ร็อกนั่งอยู่
ผู้ชายสองสามคนนั้นเหมือนจะตระหนักได้ว่าวารุณีเห็นพวกเขาแล้ว หลังจากสบตากันก็ทิ้งก้นบุหรี่แล้วยืนขึ้นมา จากนั้นถูไถฝ่ามือแล้วเดินมาทางวารุณี
วารุณีตระหนักได้ถึงอันตราย ก็ถอยหลังไปก่อนสองก้าว จากนั้นหันกลับวิ่งไป
ผู้ชายสองสามคนนั้นคิดไม่ถึงว่าเธอจะไปเลยแบบนี้ บอกว่าวิ่งก็วิ่งเลย ก็ตะลึงไปก่อน หลังจากได้สติคืนมา ก็ก้าวขาตามไป“รีบตามไป!อย่าให้เธอหนี!”
วารุณีได้ยินเสียงวิ่งมาจากด้านหลัง รู้ว่าพวกเขากำลังไล่ตามตัวเองอยู่ เธอก็ไม่กล้าหันหน้าไป ได้แต่ก้มหน้าพยายามเร่งความเร็ววิ่งไปข้างหน้าอย่างที่สุด
เธอวิ่งด้วยความกลัวไป ก็ตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังไปว่า“ช่วยด้วยค่ะ มีคนมา มีคนตามฉันมา ช่วยด้วย!”
คนที่เดินผ่านบางคนเห็นขอความช่วยเหลือจากวารุณี ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างแปลกใจแล้วมองมา
แต่ตอนที่เห็นชายหนุ่มที่ดูดุร้ายย่ากลัวที่อยู่หลังเธอพวกนั้น ความเห็นใจก็หายไปทันที ก้มหน้าลงแล้วรีบออกไป แกล้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ตัวเองจะได้ไม่เดือดร้อน
วารุณีเห็นคนพวกนั้นทำเป็นคนหูหนวกตาบอดไม่รับรู้อะไร ไม่ยอมช่วยเธอ
ถึงแม้เธอเข้าใจพวกเขา แต่ในใจกลับเสียใจ ผิดหวังมาก
พึ่งพาคนที่ผ่านไปมาไม่ได้ วารุณีก็หมดหนทาง ตะโกนไป ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าอย่างสั่นๆไปด้วย อยากจะหยิบโทรศัพท์มาแจ้งความ
ก็แค่ตอนที่เธอหยิบโทรศัพท์มาปลดล็อก ยังไม่ทันกดเบอร์ตำรวจ เธอกลับถูกบังคับให้หยุดฝีเท้าลง
เพราะตรงหน้าเธอเป็นทางตัน เป็นกำแพงกั้นไว้ กำแพงนั้นสูงมาก และยาวมาก ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ ย้อนกลับไปก็ไม่ได้ ได้แต่หยุดลง
เธอ จนตรอกแล้ว!
“วิ่งสิ ทำไมไม่วิ่งล่ะ?”ผู้ชายสองสามคนนั้นตามมา มองกำแพงตรงหน้าวารุณี แล้วก็มองแผ่นหลังของวารุณีที่สั่นและเกร็ง ก็หัวเราะออกมา“วิ่งต่อสิ ไม่ใช่ว่าคุณวิ่งเก่งเหรอ?”
วารุณีได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากด้านหลัง ใบหน้าซีดขาวค่อยๆหันมา เอาโทรศัพท์ซ่อนไว้ด้านหลัง กดเข้าบันทึกการโทรจากความทรงจำ จากนั้นกดเบอร์หนึ่งออกไปจากหน้าจอ
เธอไม่รู้ว่าตัวเองโทรหาใคร ได้แต่แอบภาวนาในใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะรับ แล้วแจ้งความให้เธอ
เธอแจ้งความเองไม่ได้ เธอมองไม่เห็นปุ่มกด เป็นไปได้มากที่จะกดเบอร์ตำรวจผิด และยังสิ้นเปลืองเวลาพลาดโอกาสที่จะแจ้งความ ดังนั้นจึงได้แต่ทำแบบนี้
ในห้องประชุมของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป นัทธีกำลังประชุม มารุตถือโทรศัพท์ของเขาเข้ามาจากด้านนอก ไปด้านข้างเขา โค้งตัวเล็กน้อย พูดเสียงทุ้มเบาว่า:“ประธานครับ คุณวารุณีโทรมา”
“มีอะไร?”นัทธีหยุดการบรรยายประชุมหันหน้าไปถาม
มารุตส่ายหน้า“ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้รับ”
“เอามาให้ผม”นัทธียื่นมือออกไป
มารุตยื่นโทรศัพท์ให้เขา
พอเขารับไป พูดกับคนในห้องประชุมว่าหยุดประชุมชั่วคราว แล้วก็ออกไปจากห้องประชุม
ด้านนอกห้องประชุม นัทธีรับสาย แล้วเอาโทรศัพท์แนบหู“ฮัลโหล โทรหาผมมีอะไรหรือเปล่า?”
เสียงของวารุณีที่อยู่ในสาย กลับไม่ได้ตอบเขา และกำลังถามใครอยู่“ใครส่งพวกคุณมา จะทำอะไร?”
ฟังความสั่นและหวาดกลัวในน้ำเสียงของเธอออก นัทธีก็ตระหนักได้ว่าเธอเกิดเรื่อง มือที่ถือโทรศัพท์ไว้ก็จับแน่น ความอาฆาตรอบๆตัวแผ่ซ่านออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
เขารู้ว่า สายที่โทรมานี้เธอโทรมาขอความช่วยเหลือ เขาทนความเดือดดาลและกังวลภายในใจไว้ไม่ยอมพูด แต่ฟังอยู่เงียบๆ
แค่ได้ยินจุดที่เธออยู่ตอนนี้เท่านั้น เขาถึงจะมั่นใจได้ว่าไปช่วยเธอทัน
วารุณีไม่รู้ว่าสายของตัวเองมีคนรับไหม เธอยักไหล่มองชายสองสามคนที่อยู่ข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
ผู้ชายสองสามคนมองไม่เห็นการกระทำด้านหลังของเธอ ยืนหัวเราะห่างไปสองเมตรตรงหน้าเธออย่างร้ายกาจ“พวกเราจะทำอะไรเหรอ?แน่นอนว่าพวกเรามาขัดขวางคุณไปศาลไง”
“ขัดขวางฉันไปศาล?”ดวงตาวารุณีเบิกโต“สุภัทรส่งพวกคุณมาใช่ไหม?”
ได้ยินสุภัทรสองคำนี้ สายตาผู้ชายสองสามคนนั้นก็สั่นคลอน แต่แป๊บเดียวก็คืนกลับไปเหมือนเดิม“โอ๊ย ถูกเดาได้แล้ว ในเมื่อเดาถูกแล้ว งั้นพวกเราก็จะไม่ปิดบังคุณ พวกเราถูกเขาส่งมาจริงๆ เขาไม่อยากให้คุณปรากฏตัวที่ศาล ดังนั้นคุณตามพวกเราไปเถอะ”
พูดไป ผู้ชายพวกนั้นก็เข้ามา จะไปจับวารุณี
ใบหน้าวารุณีปรากฏความหวาดกลัว ยกมือขึ้นมากันไว้อย่างไม่รู้ตัว
ยกมือขึ้นมาแบบนี้ ผู้ชายสองสามคนนั้นเห็นโทรศัพท์ของเธอ
“แย่แล้ว ผู้หญิงคนนี้กำลังโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ เร็ว แย่งโทรศัพท์ของเธอมา!”ผู้ชายหนึ่งในนั้นตะโกนออกมาด้วยสายตารีบร้อน
นัทธีที่อยู่ปลายสายรู้ว่าวารุณีถูกจับได้ว่าคุยโทรศัพท์ ในใจก็หม่นลง ไม่สนอะไรอีก ถามเสียงหม่นอย่างร้อนใจไปว่า:“วารุณี รีบบอกผมมา ตอนนี้คุณอยู่ไหน?”