พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 228 คำพิพากษาของพิชญา
“พอแล้วลูกสองคนนี้ ถามมากขนาดนี้ทำไม คิดดีกว่าว่าเดี๋ยวจะกินอะไร?”วารุณีบีบหน้าของลูกทั้งสอง
“หนูอยากกินหมูก้อนราดน้ำแดงที่คุณยายส้มทำค่ะ”ไอริณชูมือเล็กๆขึ้นมา พูดออกไปก่อน ลิ้นเล็กๆก็ยังคงเลียริมฝีปาก
ดวงตาอารัณก็เป็นประกาย รู้ว่ามองวารุณีก็ไม่มีประโยชน์ จึงมองไปที่นัทธี“พ่อครับ ได้ไหม?”
ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้นมา“แน่นอน”
“เย้!”เด็กสองคนกระโดดขึ้นมาอย่างดีใจ จากนั้นเดินผ่านเขากับวารุณี วิ่งไปที่อพาร์ทเม้นท์ตรงข้าม
วิ่งไปหน้าประตูของอพาร์ทเม้นท์นัทธี เด็กทั้งสองก็เริ่มเคาะประตู
วารุณีมองลูกสองคนที่มีพฤติกรรมหน้าด้านแบบนี้ หน้าก็แดงระเรื่อ“ขอโทษมากเลยนะคะประธานนัทธี ฉันจะเรียกพวกเขากลับมาเลย!”
พูดไป เธอก็จะเรียกลูกสองคนกลับมา
แต่ยังไม่รอให้เธอพูด นัทธีก็ยกมือขึ้นห้าม“ไม่ต้อง ปล่อยพวกเขาไปเถอะ พวกเขาชอบฝีมือของป้าส้ม ป้าส้มเองก็ดีใจ”
“แต่ว่า……”วารุณียังอยากพูดอะไร
นัทธีหันกลับ“เอาเถอะ คุณก็มาสิ”
พูดจบ เขาก็เข้าอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ตรงข้าม
วารุณีได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของอพาร์ทเม้นท์ตรงข้ามเข้ามา แล้วมองห้องด้านหลังที่ไม่มีใครสักคนอีกครั้ง ในที่สุดก็ถอนหายใจ และตามเข้าไป
สองวันถัดมา
คดีคัดลอกผลงานของพิชญาถูกพิจารณาขึ้นมาใหม่
ครั้งนี้ วารุณีมาก่อนล่วงหน้า รวมตัวกับประธานวรวี
ประธานวรวีมองสภาพเธอที่ไม่เป็นอะไรไป จึงพยักหน้าอย่างโล่งอก“สองวันก่อนผมได้ยินประธานนัทธีบอกว่าคุณถูกลักพาตัว ทำเอาผมเสียสติไปเลย โชคดีที่คุณไม่เป็นอะไร ไม่งั้นวงการออกแบบฝั่งตะวันออกของพวกเรา ก็ต้องสูญเสียไปอีกคนแล้ว”
วารุณีหัวเราะอย่างเขินอาย“ประธานวรวีชมเกินไปแล้วค่ะ”
“ฉันไม่ได้พูดเกินไป หลายปีนี้วงการออกแบบฝั่งตะวันตก ได้กดวงการออกแบบตะวันออกของเราไว้ตลอด พวกเขาคิดว่าแฟชั่นถูกพัฒนาขึ้นมาจากตะวันตกก่อน ดีไซเนอร์ฝั่งตะวันออกของเราไม่อาจเทียบกับพวกเขาได้เลย”
พูดถึงตรงนี้ ประธานวรวีถอนหายใจ บ่นไปว่า:“ดังนั้นผมจึงไม่หวังจริงๆว่า ดีไซเนอร์ที่มีความสามารถอย่างพวกคุณจะเป็นอะไรไป โอเค ถึงเวลาเปิดคดีแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
“อือ”วารุณีพยักหน้า เข้าไปตามหลังเขา
เข้าศาลมา วารุณีก็รู้สึกถึงสายตาซับซ้อนที่กำลังเฝ้ามองดูเธออยู่
เธอมองตามไป มองเห็นสุภัทรที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้ฟัง สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเย็นชา
จากนั้น เธอก็ละสายตา ไม่มองอีก
ถึงแม้ลักพาตัวเธอที่แท้จริง ไม่ใช่สุภัทร
แต่คนพวกนั้นกลับเป็นคนที่สุภัทรหามา ดังนั้นNนั่นเลยมีช่องโหว่เข้ามาได้ เธอจึงให้อภัยสุภัทรด้วยไม่ได้!
พิจารณาคดีเริ่มขึ้นแล้ว ภายใต้คำสั่งของผู้พิพากษา พิชญาก็ถูกพาเข้ามา
เธอยังคงนั่งบนรถเข็น ตัวผอมลงไปเยอะมาก สภาพจิตใจก็ดูแย่มาก ดูแล้วตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากมาก
วารุณีเอาแต่จ้องพิชญา พิชญาตระหนักได้ จึงเงยหน้ามองมา สบตากับวารุณี
เธอมองไปยังวารุณีที่สวยสดงดงามอย่างเคย แล้วเทียบกับตัวเองที่ตกอับอย่างนี้ในตอนนี้แล้ว ความเกลียดชังในดวงตาแทบจะกลายเป็นมีด อยากจะแทงวารุณีให้ตาย
วารุณีอ่านสายตาของพิชญาออก ริมฝีปากแดงๆยกขึ้นมา จากนั้นชูมือขึ้น“ผู้พิพากษา จำเลยขู่ฉันค่ะ!”
พิชญาเบิกตาโต
ยังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่า วารุณีจะหน้าไม่อายอย่างนี้ ยังจะฟ้องอีก!
ผู้พิพากษาหยิบค้อนประธานข้างตัวขึ้นมาเคาะ“จำเลยข่มขู่โจทก์ โดนเตือนหนึ่งครั้ง จำเลยมีข้อโต้แย้งไหม?”
พิชญากำฝ่ามืออย่างไม่พอใจ กัดฟันพูดออกมาจากช่องว่างระหว่างฟันสองคำว่า“ไม่ค่ะ!”
“จำเลยไม่มีข้อโต้แย้ง งั้นผมจะขอประกาศ ให้การพิจารณาคดีเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ คดีครั้งนี้……”
การพิจารณาคดีครั้งนี้ดำเนินถึงสองชั่วโมงเต็ม ในที่สุดก็สิ้นสุดลง
พิชญาลอกผลงาน ที่จริงหลักฐานก็แน่ชัดอยู่แล้ว บวกกับดีไซเนอร์เจ้าของผลงานกับวารุณีผู้เป็นพยานก็อยู่ทั้งหมด ถึงแม้สุภัทรจะจ้างทนายความมาให้พิชญา ก็ช่วยอะไรไม่ได้
สุดท้าย สถานการณ์คำพิพากษาคัดลอกผลงานของพิชญา เนื่องจากจำนวนกำไรทั้งหมดที่ได้นั้นมามากเกินไป จึงถูกตัดสินจำคุกหกปี ทรัพย์สินภายใต้ชื่อทั้งหมด ต้องคืนกลับดีไซเนอร์เจ้าของผลงานพวกนั้น
ซึ่งก็หมายความว่า พิชญาไม่ใช่แค่ติดคุกหกปี แต่ทรัพย์สินทั้งหมดก็จะไม่เหลือด้วย
สำหรับผลลัพธ์นี้ ถึงแม้พิชญาจะไม่สามารถรับได้ แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านได้ ได้แต่เก็บความไม่พอใจอันเต็มเปี่ยม ถูกตำรวจประจำศาลพาตัวออกไป
ตอนที่ไป เธอผ่านด้านข้างวารุณี ก็หยุดลง“วารุณี ฉันมีจุดจบแบบนี้ เธอดีใจมากสินะ?”
วารุณีจัดชายกระโปรงให้ดูดี พูดด้วยรอยยิ้มออกไปนิ่งๆ:“แน่นอน เพราะว่าฉันจะได้ไม่เจอเธอถึงหกปี”
“เหอะ เธออย่าภูมิใจให้ไวนักเลย ถึงฉันเข้าไปแล้ว เธอคิดว่าเธอจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเหรอ?ฉันจะบอกให้นะ ไม่มีทางหรอก ผู้หญิงคนนั้นไม่ปล่อยเธอแน่!”พิชญาหัวเราอย่างร้ายกาจ
วารุณีดูหม่นหมองลงไป ยืนขึ้นมาจากที่นั่ง“ผู้หญิงคนนั้น?N?”
พิชญายกริมฝีปากขึ้นมา“ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยนะ”
“ที่แท้แล้วN เธอก็รู้จัก เธอเป็นใครกันแน่?”วารุณีเดินหน้าเข้าไป ถามเสียงคมกริบ
พิชญามองสภาพของเธอที่ร้อนรนอยากรู้แบบนี้ ก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้น“เธออยากรู้ ฉันก็ไม่บอกเธอหรอก ฉันบอกได้แค่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนบ้า และเธอที่ถูกยัยบ้านั่นไม่ปล่อย จุดจบจะต้องแย่แน่นอน”
พูดจบ พิชญาก็เข็นรถเข็นเดินหน้าไป
วารุณีมองแผ่นหลังของเธอ บีบฝ่ามือ ตะโกนออกไปเสียงดัง:“เธอใช่นวิยาหรือเปล่า!”
พิชญาไม่ตอบ แม้แต่รถเข็นก็ไม่หยุดลง กระทั่งว่าแผ่นหลังก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ
วารุณีละสายตาลงพึมพำ“เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ กับชื่อนวิยานี้เลย หรือว่าจะไม่ใช่นวิยาจริงๆ?”
คำถามนี้ เธอไม่ได้คิดนานไป เพราะถูกสายของปาจรีย์ตัดบท
“วารุณี ฉันเห็นข่าวแล้ว พิจารณาคดีสิ้นสุดลงแล้ว คำพิพากษาของพิชญาก็จบลงแล้ว ตอนเย็นพวกเราไปดื่มเหล้ากันเถอะ ฉลองหน่อยเป็นไง?”ปาจรีย์เสนอในสายอย่างตื่นเต้น
วารุณีก็ไม่อยากทำลายความดีใจของเธอ พยักหน้าตอบไปว่า“ได้สิ”
“งั้นก็ตามนี้นะ หนึ่งทุ่ม เจอกันที่เดิม โอเค ฉันไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้พงศกรก่อน”ปาจรีย์ปรบมือและหัวเราะ
“ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล?”วารุณีตะลึง“ทำไมพงศกรออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ?”
“อ้อใช่ ซี่โครงเขาผสานตัวแล้ว ค่อยๆฟื้นตัวทีหลังก็ได้แล้ว ไม่ต้องพักที่โรงพยาบาลต่อแล้ว และเขายังมีคนไข้ ที่รอเขาผ่าตัดอยู่”ปาจรีย์หันไปมองห้องคนไข้แล้วพูด
วารุณีพยักหน้า“แบบนี้เอง งั้นก็ดี อีกสองวันพวกเราจัดงานเลี้ยงออกจากโรงพยาบาลให้พงศกรกัน”
“โอเค งั้นถึงตอนนั้นพวกเรามาปรึกษากัน”
วารุณีตอบอือ แล้วจึงวางสาย
ออกจากโรงพยาบาล วารุณีก็มาที่หน้ารถ หยิบกุญแจรถออกมาจะกด จู่ๆสุภัทรก็มาหยุดเธอไว้
วารุณีมองคนที่ดูแก่ไปอีกสิบกว่าปีตรงหน้า ในใจไม่รู้สึกใดๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข นิ่งสุดๆ“มีอะไรหรือเปล่า?ถ้าคุณจะมาซักไซ้เอาความฉันเพื่อพิชญาล่ะก็ นั่นไม่จำเป็น เพราะฉันจะไม่สนใจคุณ”
“ความผิดของพิชญาตัดสินแล้ว ฉันจะมาซักไซ้เอาความกับแกมีประโยชน์เหรอไง?”ใบหน้าแก่ๆของสุภัทรหัวเราะอย่างเหน็บแนม
วารุณีเสยผม“งั้นคุณจะมาทำอะไรกันแน่?”
“ฉันแค่มาถามแก ตอนนี้ศรัณย์เป็นอย่างไรบ้าง?”สุภัทรมองเธอ
ได้ยินเขาถามถึงน้องชายตัวเอง ดวงตาของวารุณีหรี่ลงทันที“เจ็ดปีก่อน คุณทิ้งศรัณย์ที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคหัวใจพิการแต่กําเนิด สงสัยว่าศรัณย์ไม่ใช่ลูกชายของคุณ ตอนนี้คุณจะถามถึงศรัณย์ทำไมอีก?”
ใบหน้าแก่ๆของสุภัทรดูอึดอัด แต่พอคิดถึงเป้าหมายของตัวเองแล้ว ก็ดูจริงจังขึ้นมา“ฉันอยากเลี้ยงดูแลศรัณย์ให้มาเป็นทายาทของตระกูลศรีสุขคํา”
“อะไรนะ?”วารุณีคิดว่าตัวเองฟังผิดไป จึงขยี้หู“เลี้ยงศรัณย์เป็นทายาทของคุณ?”