พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 242 พวกเราแต่งงานกันเถอะ
นัทธีก้าวเท้าออกไปจากห้องน้ำ รับเสื้อคลุมอาบน้ำในมือของป้าส้มมาสวมให้วารุณี อุ้มเธอไปที่ห้อง วางไว้บนเตียง
จากนั้น เขาจึงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำเอง
อาบน้ำเสร็จออกมา นัทธีก็เป่าผมอย่างสบายๆ แล้วกลับห้องไป กอดวารุณีจนหลับ
เช้าวันที่สอง
วารุณีตื่นมา ลืมตามามอง ห้องมีความแปลกไป ก็ทำให้เธอตะลึงงันไปหมด
“นี่ที่ไหนเนี่ย?”วารุณีกะพริบตา ส่งเสียงออกมาอย่างสงสัย ยันตัวอยากจะนั่งขึ้นมา
ที่คิดไม่ถึงก็คือ ตัวเธอขยับเล็กน้อย ความเจ็บปวดอย่างหนักก็เข้ามา เหมือนกับถูกรถชน เจ็บจนเธอล้มกลับไปที่เตียง และส่งเสียงออกมา
ขณะเดียวกัน ในหัวของเธอก็มีความทรงจำเกี่ยวกับเมื่อคืน และก็เริ่มเข้ามา
เธอคิดออกแล้ว เมื่อคืนเธอกับนัทธีทำเรื่องแบบนั้น
งั้นที่นี่ คือบ้านของนัทธี?
กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆประตูห้องก็เปิดออก
วารุณีจึงหันหน้าไปโดยปริยาย มองไปที่ทางเข้า
นัทธีสวมชุดอยู่บ้านธรรมดายืนอยู่ที่ประตูทางเข้า“ตื่นแล้วเหรอ?”
วารุณีอ้าปาก ส่งเสียงแหบแห้งอย่างไม่น่าฟังออกไปว่า“พวก……พวกเรา……”
นัทธีเหมือนจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร สายตาก็เป็นประกาย เดินมาที่ข้างเตียง ยื่นมือไปที่เธอ
“คุณจะทำอะไร?”วารุณีเห็นแบบนี้ ก็เอนตัวถอยหลังไปไม่รู้ตัว มองเขาอย่างระวังตัว
นัทธีเม้มริมฝีปากบางๆ“ผมจะอุ้มคุณลง”
“ไม่……ไม่ต้อง ฉันไปเองได้”วารุณีรีบส่ายหน้า ปฏิเสธเขา
นัทธียืนตัวตรง ชักมือกลับมา“ในเมื่อทำได้ งั้นคุณก็ลองดู”
ลองก็ลองดู!
คิดไป วารุณีก็เปิดผ้าห่ม ก้าวเท้าเตรียมลงจากเตียง
สุดท้ายพอเท้าเธอขยับ ก็ถูกดึงไปที่หนึ่ง เจ็บจนเธอรู้สึกคาดไม่ถึง
นัทธีเห็น ถึงจะทั้งตลกทั้งสงสาร แต่สุดท้ายก็ยื่นมือออกไป อุ้มเธอขึ้นมา
เมื่อถูกเขาอุ้มแบบนี้อย่างฉับพลัน วารุณีจึงตกใจ โอบคอของนัทธีอย่างไม่รู้ตัว
นัทธีอุ้มเธอเดินไปด้านนอกพอดี
ด้านนอกห้องรับแขก เด็กทั้งสองคนกำลังนั่งกินอาหารเช้าที่โต๊ะทานข้าว ป้าส้มที่อยู่ข้างๆกำลังเช็ดปากให้พวกเขาอย่างเอ็นดู
เด็กสองคนเห็นวารุณีถูกนัทธีอุ้มออกมา ก็ส่ายแขนเล็กๆที่เป็นมัดๆนั้นไปมา
“หม่ามี๊ หม่ามี๊นอนได้นอนดีจริงๆ พวกเราจะกินข้าวกันเสร็จแล้ว หม่ามี๊เพิ่งจะตื่น”อารัณพูด
“ใช่ และยังให้พ่อมาอุ้มอีก น่าอายจัง”ไอริณก็พูดเสริมไปอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
ที่จริงวารุณีพยายามสุดๆที่จะไม่ไปคิดเรื่องเมื่อคืน แต่ตอนนี้ได้ยินลูกทั้งสองคนพูดแบบนี้แล้ว หน้าก็แดงด้วยความเขินอาย แดงไปยันช่วงใต้คอ
นัทธีวางเธอลงไปที่ตรงข้ามเด็กทั้งสองคน ส่วนตัวเองดึงเก้าอี้ข้างๆมานั่งลงไป แล้วพูดเบาๆกับเด็กทั้งสองว่า“โอเค พวกหนูรีบกินเถอะ กินเสร็จแล้วจะให้คุณยายส้มไปส่งพวกหนูไปเรียน”
“ค่ะ งั้นพ่อก็อยู่บ้านกับหม่ามี๊”ไอริณพยักหน้าเล็กๆลง
ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้น ตอบอือกลับไป
วารุณีเงยมองเขาอย่างแปลกใจ
นัทธีตระหนักได้ จึงเงยหน้ามองมา“ทำไมเหรอ?”
วารุณีรีบละสายตากลับไป“เปล่าค่ะ แค่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาสองคนมาอยู่นี่ได้”
“ผมไปเรียกพวกเขามากินข้าวเช้าเองแหละ”นัทธีเอานมวัวแก้วหนึ่งไปไว้ตรงหน้าของเธอ
วารุณีมองนมวัวตรงหน้า ไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ตอนนี้เอง ป้าส้มถืออาหารเช้าของเธอเข้ามา“คุณวารุณี หิวแล้วสินะคะ รีบกินข้าวเถอะ ”
วารุณีพยายามยิ้มมุมปากออกไปที่ป้าส้ม“ขอบคุณค่ะป้าส้ม”
ป้าส้มส่ายมือ สื่อว่าไม่ต้องขอบคุณ
แป๊บเดียว เด็กทั้งสองคนก็กินอาหารเช้าเสร็จ แบกกระเป๋าหนังสือเล็กๆของใครของมัน แล้วโบกมือให้วารุณีกับนัทธี“หม่ามี๊ พ่อ พวกเราไปเรียนแล้วนะ”
“ไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ”ยังไม่รอให้วารุณีตอบกลับ นัทธีก็พยักหน้าแล้ว
เด็กสองคนตอบอือกลับไป จากนั้นจูงมือของป้าส้มซ้ายคนขวาคนออกไปจากประตู
ในห้องทานข้าวที่กว้างขวาง มีแค่วารุณีกับนัทธีสองคน
วารุณีวางส้อมกับมีดในมือลง“ประธานนัทธี ฉันอยากคุยกับคุณเรื่องเมื่อคืนค่ะ”
“พอดีเลย ผมก็อยากคุย”นัทธีใช้ผ้าเช็ดปากมาเช็ดที่มุมปากอย่างสง่างาม และจึงวางส้อมกับมีดลง
วารุณีสูดหายใจลึกๆ“ประธานนัทธี พวกเราลืมเรื่องเมื่อคืน……”
“พวกเราแต่งงานกันเถอะ!”นัทธีตัดบทเธอ สายตาที่มองเธอ จริงจังอย่างมาก
ดวงตาวารุณีเบิกโตขึ้นมาอย่างตะลึง ปฏิกิริยาตอบโต้อย่างแรกก็คือคิดว่าตัวเองฟังผิดไป“ประธานนัทธี คุณเพิ่งพูดอะไรน่ะ?”
“พวกเราแต่งงานกันเถอะ!”นัทธีเอาผ้าเช็ดปากที่อยู่บนคอ และพูดไปอีกครั้ง
วารุณีตื่นตระหนก และตกใจ มือทั้งสองข้างโบกไปมาอย่างบ้าคลั่ง พูดจาไม่ชัด“แต่ง……แต่งงาน?”
เธอชี้ไปที่ตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็ชี้ไปที่เขา
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย
วารุณีกลืนน้ำลาย“ประธานนัทธี คุณไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหมคะ?”
“ผมไม่เคยล้อเล่น”นัทธีตอบกลับเสียงหม่น
วารุณียันโต๊ะยืนขึ้นมา เดินไปด้านข้างก้าวหนึ่ง เว้นระยะห่างกับเขา“ขอโทษค่ะ ข่าวใหญ่เกินไป ฉันขอใจเย็นลงหน่อยนะคะ”
นัทธีพยักหน้า“ได้สิ”
พูดจบ เขาก็กินอาหารเช้าต่อไปอย่างช้าๆ
วารุณียืนอยู่ข้างโต๊ะ กัดริมฝีปาก สักพักจึงอยู่สนสภาวะคงที่ได้ ตั้งสติพูดไปว่า“ประธานนัทธี ทำไมจู่ๆคุณก็บอกว่าจะแต่งงานกับฉันคะ เพราะว่าคุณอยากรับผิดชอบฉันเหรอ?”
“ประมาณนั้น”นัทธีถือกาแฟขึ้นมาจิบไปคำหนึ่ง
เรื่องรับผิดชอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จริงเขามีแผนว่าจะแต่งงานกับเธออยู่แล้ว
“งั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่อาจตอบตกลงได้”วารุณีเม้มริมฝีปาก น้ำเสียงดูเย็นชา
นัทธีขมวดคิ้ว“ทำไม?”
“เพราะว่า……”วารุณีละสายตาลงคิดเล็กน้อย“เพราะว่าลูกทั้งสองคนต้องไม่ตกลงแน่”
ได้ยินสาเหตุนี้ คิ้วของนัทธีก็คลายลง“ถ้าเป็นเพราะว่าคุณกังวลว่าเด็กทั้งสองจะไม่ตกลง นั่นไม่จำเป็นหรอก ตั้งแต่แรกเด็กสองคนนั้นก็คาดหวังว่าพวกเราจะแต่งงานกันแล้ว ตั้งแต่พวกเขาเรียกผมว่าก็มองออกได้เลย และเมื่อคืนพวกเรานอนด้วยกัน คุณคิดว่าพวกเขาไม่รู้เหรอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร ก็คือยอมรับไปโดยปริยาย”
ได้ยินดังนั้น วารุณีก็ตกใจ
ใช่สิ เมื่อกี๊ตอนที่ลูกทั้งสองเห็นเธอถูกนัทธีอุ้มออกมา ไม่ได้ตกใจเลย
นัทธีเช็ดมือ เอาผ้าเช็ดปากวางไว้ในจานอาหาร“ดังนั้นตอนนี้คุณจะตกลงได้ยัง?”
วารุณีส่ายหน้า“ถึงแม้เด็กทั้งสองอยากได้คุณมาเป็นพ่อของพวกเขา แต่ฉันก็ยังแต่งงานกับคุณไม่ได้ เพราะว่าฉันไม่เคยคิดเลย ว่าจะแต่งงานกับคนที่ไม่รักฉัน ดังนั้นประธานนัทธี คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบแล้วมาแต่งกับฉัน เพราะว่าสำหรับฉันแล้วมันไม่ยุติธรรม และก็ไม่ยุติธรรมต่อคุณนวิยาด้วยค่ะ”
“นี่เกี่ยวกับนวิยาด้วยเหรอ?”นัทธีขมวดคิ้ว
วารุณีสูดหายใจลึกๆ“จะไม่เกี่ยวได้ไง คุณกับคุณนวิยารักกันไม่ใช่เหรอ คุณแต่งงานกับฉัน งั้นคุณนวิยาล่ะทำไง?และฉันก็จะกลายเป็นมือที่สามทำลายพวกคุณ”
ถ้าพูดอะไรที่ดูไม่น่าฟังสักหน่อย แค่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อขึ้น พวกเขาก็รู้สึกผิดกับนวิยาแล้ว
นัทธีเลิกคิ้วขึ้นแล้วยืนขึ้นมา“ใครบอกคุณ ว่าผมรักกับนวิยา?”
“หรือว่าไม่ใช่?”วารุณีมองเขา
นัทธีเม้มริมฝีปาก“ไม่ใช่ ผมไม่เคยรักนวิยา คนที่ผมรัก คือคุณ!”
รูวารุณีขยายใหญ่ ใบหน้ามีความไม่เชื่อเต็มไปหมด“คุณ……คุณพูดอะไร คนที่คุณรัก คือ……คือฉัน?”
เธอตกใจจนลิ้นแข็งไปอีกแล้ว
นัทธีพยักหน้า ยื่นมือไปจับมือของเธอ“คุณนั่นแหละ”
“จะเป็นไปได้ไง!”วารุณีเอามือของเขาออก หัวเราะอย่างไม่เชื่อ“ประธานนัทธีอย่ามาหลอกฉันค่ะ คุณยังเคยพูดที่เรือสำราญอยู่เลยว่า คุณไม่ชอบฉัน ตอนนี้มาบอกว่ารักฉัน ใครจะเชื่อ?”