พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 293 ผู้ถูกเลือก
“พอไหวค่ะ”วารุณีดึงผ้าห่มออก กัดฟันขยับขา พยายามจะลุกลงจากเตียง
ทันทีที่ขาของเธอเหยียบลงบนพื้น ก็เสียดเข้ากับอะไรบางอย่าง ขาทั้งสองข้างถึงกับอ่อนแรง และกำลังจะล้มลงกับพื้น
ในตอนนี้เอง นัทธีโน้มตัวลงแล้วเหยียดแขนเข้ามาหา ช้อนร่างของเธออุ้มขึ้นมา “พอแล้ว ผมอุ้มคุณไปห้องน้ำเอง ”
วารุณีไม่ได้ขัดขืน โอนอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง
นัทธียกยิ้มมุมปาก แล้วอุ้มเธอเดินไปที่ห้องน้ำ
หลังจากชำระร่างกายทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองพากันลงไปชั้นล่าง ไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า
เด็กทั้งสองคนเองก็อยู่ที่ห้องอาหารและกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็เอ่ยทักทายเสียงใส“ คุณพ่อ หม่ามี๊ อรุณสวัสดิ์ครับ/ค่ะ ”
“อรุณสวัสดิ์จ้า”วารุณีเดินเข้าไปหา แล้วลูบที่ศีรษะของเด็กทั้งสองคน
นัทธีตอบอืมกลับด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนมาคำหนึ่ง ดึงเก้าอี้ออกให้ตัวเองและเผื่อวารุณีด้วยจากนั้นก็นั่งลง
ป้าส้มนำอาหารเช้าของคนทั้งสองมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ
วารุณีหยิบผ้าเช็ดปากวางไว้บนตัก หยิบมีดและส้อมขึ้นมา หั่นไข่ไปด้วย แล้วพูดขึ้นว่า“เออนัทธี ฉันมีเรื่องที่ต้องบอกคุณ ”
“เรื่องอะไร?”นัทธียกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
วารุณีตักไข่ชิ้นหนึ่งเข้าปาก หลังจากที่กลืนแล้ว ก็จึงได้พูดขึ้นว่า “วันนี้คุณแม่ท่านกลับมาแล้ว”
“เรื่องคดีเหรอ?”นัทธีวางถ้วยกาแฟลงแล้วมองมาที่เธอ
วารุณีพยักหน้า “ใช่ค่ะ สุภัทรเขาจะสู้คดี แม่ก็จะสู้กับเขาด้วย”
“พอมีโอกาสไหม ?”นัทธีหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นแล้วเช็ดไปที่มุมปาก
วารุณียิ้มแล้วตอบกลับ “มีค่ะ”
นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง เพื่อแสดงให้รู้ว่ารับทราบแล้ว แล้วพูดต่อว่า“งั้นผมให้ป้าส้มเตรียมห้องพักให้ห้องหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ!”วารุณีรู้ ว่าเขาอยากจะเตรียมห้องให้วรยา จึงรีบโบกมือปฏิเสธทันที “ให้คุณแม่ท่านพักที่คอนโดก็ได้ค่ะ”
วรยาไม่ชอบที่เธอคบหากับนัทธี หากต้องมาพักอยู่ที่นี่ คงต้องโวยวายแน่
เธอเองก็ไม่อยากที่จะต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างแม่กับแฟนตัวเอง จะเข้าข้างใครก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำทั้งนั้น มันเหนื่อย ดังนั้นแยกกันอยู่น่าจะดีกว่า
อารัณไม่รู้ว่าในใจของวารุณีกำลังคิดอะไร ดื่มนมอยู่ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า“หม่ามี๊ทำไมไม่ให้คุณยายมาอยู่กับเราล่ะครับ ? ”
“จริงด้วยค่ะหม่ามี๊” ไอริณกะพริบตาปริบๆ ถามออกมาด้วยความสงสัยเช่นกัน
แม้แต่ตัวนัทธีเองก็มองมาที่เธอ
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของพ่อและลูกๆ วารุณีก็รู้สึกกดดันอย่างมาก เธอคลึงไปที่หว่างคิ้วแล้วตอบว่า“ เพราะคุณยายชอบความเงียบสงบ”
“เหรอครับ?”เห็นชัดว่าอารัณไม่เชื่อ
นัทธีก็ยิ่งไม่เชื่อ
วรยาที่เขาเห็น ไม่ใช่คนที่ชอบความเงียบสงบ
วารุณีรู้ว่าคำตอบของเธอนั้นก็ไม่ได้ถูกเสียทั้งหมด หลุบตาลงต่ำ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดเสียดื้อๆ “ก็ใช่นะสิลูก พอแล้ว ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว กินข้าวกันเร็ว กินเสร็จแล้วจะได้ไปโรงเรียนกัน ”
ในขณะที่พูด เธอก็แบ่งไข่ในจานของตัวเองออกครึ่งหนึ่ง แล้วแยกใส่จานให้กับลูกทั้งสองคน เพื่อแสดงให้รู้ว่าหยุดพูดได้แล้ว
เด็กทั้งสองคนต่างก็เชื่อฟัง ไม่ได้ถามอะไรต่อ กินอาหารเช้าต่ออย่างว่าง่าย
มีเพียงนัทธีเท่านั้นที่ชำเลืองมองวารุณีอย่างสื่อความหมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงคัดค้านที่จะให้วรยาเข้ามาพักที่นี่
แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร คิดเพียงว่ามันคงเป็นเรื่องระหว่างแม่ลูกของพวกเธอ ดังนั้นเพียงไม่นาน เขาก็สลัดเรื่องนี้ออกไปจากหัวสมอง ยกกาแฟขึ้นจิบอย่างผ่อนคลาย
หลังจากเสร็จสิ้นมื้อเช้า ทั้งสองคนก็พาเด็กน้อยออกจากบ้านไป
ส่งลูกทั้งสองคนไปโรงเรียนอนุบาล นัทธีก็ไปส่งวารุณียังที่ทำงาน จากนั้นถึงได้ขับรถไปที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
“วารุณี มีข่าวดี!”ทันทีที่วารุณีเดินเข้ามาในที่ทำงาน ปาจรีย์ก็มาต้อนรับด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น
วารุณีวางกระเป๋าที่สะพายอยู่ลง ถามไปด้วยความสงสัยว่า “ ข่าวดีอะไร?”
“เรื่องการสนับสนุนนั้นไง!”ปาจรีย์กระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น “ครั้งก่อนที่ฉันเคยบอก ว่าทางรัฐบาลของเราต้องการจะช่วยเหลือและสนับสนุนบริษัทเสื้อผ้า ยกระดับให้เป็นแบรนด์หรูไม่ใช่เหรอ ?”
ได้ยินมาถึงตรงนี้ ดวงตาของวารุณีก็เป็นประกาย กุมไปที่มือของเธอ “ปาจรีย์เราถูกเลือกงั้นเหรอ?”
“ก็น่าจะอย่างนั้น ”ปาจรีย์พยักหน้า “แต่เป็นแค่ผู้ถูกเลือกนะ”
“แค่ผู้ถูกเลือกก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”วารุณีกำมือแน่นอย่างตื่นเต้น “ ถูกคัดเลือกมา นั้นก็แสดงว่าทางภาครัฐเขาเห็นศักยภาพของเรา”
ถูกหน่วยงานของรัฐมองเห็นศักยภาพ เท่ากับว่าทางภาครัฐก็จะเปิดไฟเขียวให้
จากนั้นเส้นทางของธุรกิจนั้นๆก็จะเดินไปได้อย่างง่ายสบาย
ปาจรีย์ก็รู้ประเด็นในเรื่องนี้ดี เกาไปที่ผมอันสั้นๆของตัวเอง “แม้จะเป็นไปอย่างที่พูด แต่ครั้งนี้ทางหน่วยงานเขาก็มีบริษัทเสื้อผ้าที่จับตามองอยู่มากมายหลายบริษัทนะ”
“โอ้?”ความตื่นเต้นในใจของวารุณีก็เบาบางลง ใบหน้าเรียวเล็กก็จริงจังมากขึ้น “มีกี่บริษัทเหรอ?”
“น่าจะราวๆยี่สิบกว่าบริษัทได้ ล้วนถูกคัดเลือกมาทั้งนั้น ” ปาจรีย์ยักไหล่ให้
วารุณีเม้มริมฝีปากแดงๆ“ยี่สิบกว่าบริษัทเหรอ การแข่งขันค่อนข้างสูงมาก ดูแล้วทางหน่วยงานของภาครัฐน่าจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย เพื่อตัดสินและคัดเลือกบริษัทที่จะให้การสนับสนุน”
“ถูกต้อง ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ” ปาจรีย์พยักหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจ พูดอย่างเป็นกังวลว่า“แต่เรื่องการแข่งขัน เบื้องบนยังไม่ได้ประกาศออกไป ฉันจะคอยเฝ้าติดตามดู หวังว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะมีโอกาสชนะ ”
วารุณียกยิ้มแล้ววางมือไปบนไหล่ของเธอ“พอแล้ว อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง เราก็ไม่ได้เสียหายอะไร บริษัทของเราถูกเลือก นั้นก็แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานของรัฐก็อยากที่จะให้การสนับสนุนเรา ดังนั้นต่อให้เราจะไม่ได้ถูกคัดเลือก แต่ทางหน่วยงานของรัฐก็คงจะมีทางเลือกและผลประโยชน์อื่นให้กับเรา ”
“ที่พูดมาก็ถูก” ปาจรีย์ยู่ปาก จากนั้นก็หัวเราะออกมา
แต่วินาทีถัดไป เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ขบริมฝีปากแน่นแล้วพูดว่า“วารุณี มะรืนฉันอยากไปต่างประเทศ การรักษาขั้นตอนแรกของพงศกรเสร็จสิ้นแล้ว ฉันอยากไปดูเขาหน่อย”
“ไปเถอะ”วารุณีเข้าใจความรู้สึกของปาจรีย์ที่มีต่อพงศกร ก็ย่อมไม่มีทางที่จะขัดขวาง กลับกันเธอจะสนับสนุนให้ปาจรีย์ไปหาเขาเสียมากกว่า
เพราะความเข้าใจผิดระหว่างเพื่อนของเธอกับพงศกรนั้นมันมีมากเกินไป เธอหวังให้พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกัน ได้อยู่ด้วยกัน ในส่วนนี้ ไม่เพียงแค่ต้องการจะสนับสนุนปาจรีย์แต่มันก็มีผลดีกับเธอด้วย
หากพงศกรกับปาจรีย์คบหากันจริงๆ เธอก็จะเบาใจมาก เพราะความรู้สึกของพงศกรที่มีต่อเธอ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด และรู้สึกผิดต่อปาจรีย์
“ขอบใจนะวารุณี”ปาจรีย์ไม่รู้ว่าวารุณีกำลังคิดอะไรในใจ เมื่อได้ยินเธอตกลง ก็ยกยิ้มแล้วโผเข้ากอดเธอ
วารุณีหัวเราะแล้วดันร่างของปาจรีย์ออก“ พอแล้ว ไปทำงานกันเถอะ ตอนเย็นฉันต้องขอออกก่อนสักสองชั่วโมงนะ”
“ทำไมเหรอ?”ปาจรีย์ถามด้วยความสงสัย
“แม่ฉันมานะสิ จะไปรับที่สนามบิน ”วารุณียกยิ้ม
“อ๋องั้นเหรอ ”ปาจรีย์พยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว
ไม่นาน เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนเย็น วารุณีก็ออกจากบริษัท ขับรถมุ่งหน้าไปที่สนามบินเพื่อรับวรยา
เธอมาได้ตรงเวลาพอดี มาถึงที่สนามบินได้ไม่นาน เครื่องของวรยาก็ลงจอด
หลังจากนั้น วรยาในชุดดำทั้งชุด สวมใส่แว่นกันแดด ก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมา จากระยะไกลก็เห็นวารุณีในท่ามกลางผู้คน
เพราะหน้าตาของวารุณีสะดุดตามาก ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ก็มักจะเลี้ยวมองดูเธอ หนำซ้ำยังมีพวกเด็กวัยรุ่น ใช้โทรศัพท์มือถือแอบถ่ายรูปเธอไว้ด้วย
วารุณีเองก็รู้ตัว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่ยกยิ้ม ช่างพวกเขา เพราะเธอก็ชินชากับมันแล้ว
“ลูกรัก”วรยาเดินออกมาจากทางเดิน ยกมือขึ้นสูง แล้วตะโกนเรียกวารุณี
วารุณีได้ยินเสียงเรียก ก็หันไปมอง เมื่อเห็นเธอ ก็วิ่งเหยาะๆไปหาด้วยรองเท้าส้นสูง“แม่!”
แม่ลูกกอดกันกลม อยู่สักพักแล้วจึงแยกออกจากกัน
วรยาถอดแว่นออกแล้วคล้องมันไปที่คอเสื้อ จากนั้นก็มองสำรวจไปที่ใบหน้าของวารุณี พูดด้วยความประหลาดใจว่า“ ลูกรัก นี่ลูกไม่ได้ผอมลงเลย หนำซ้ำยังมีเนื้อมีหนังมากขึ้นด้วย !”
วารุณีมุมปากกระตุก
เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่แยกกันกับวรยา น้ำหนักของเธอนั้นเพิ่มขึ้นมาจริงๆ แต่แค่ไม่ได้ชัดเจนมากก็เท่านั้น
คิดๆดูแล้วก็จริง ป้าส้มคอยเปลี่ยนเมนูอาหารอยู่ตลอด เธอจะไม่น้ำหนักขึ้นได้ยังไงกัน
“พอก่อนนะแม่ เราไปขึ้นรถกันก่อน”วารุณีเข็นกระเป๋าเดินทางของวรยา มืออีกข้างก็คล้องไปที่แขนของเธอ พาเธอเดินออกไปจากสนามบิน