พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 297 เกี่ยวข้องกับพงศกร
“หนูไม่รู้”วารุณีส่ายหน้า
วรยาขมวดคิ้ว “ลูกไม่รู้?”
วารุณีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง“สุภัทรไม่ได้ตั้งใจจะลักพาตัวหนู เขาแค่อยากจะขวางหนูไม่ให้ไปฟังคำพิจารณาคดีของพิชญา แต่เขาไม่คิดว่า คนที่เขาหามา ก็ถูกคนอื่นใช้เงินซื้อตัวไปอีกที เพราะฉะนั้นคนที่ลักพาตัวหนูจริงๆ ไม่ใช่สุภัทร”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!
วรยาทำเสียงฮึดฮัด “ไม่ว่ายังไง เรื่องนี้ สุภัทรก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หากไม่ใช่เพราะเขาหาคนไปขวางลูกเอาไว้ ไม่แน่ว่าลูกก็คงจะไม่ถูกลักพาตัวหรอก”
วารุณีหัวเราะออกมา“ ใครจะไปรู้ แต่คนที่ลักพาตัวหนูจริงๆ หนูก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
“บางทีพงศกรอาจจะรู้”จู่ๆนัทธีก็พูดออกมา
วารุณีหันมองไปยังชายหนุ่มทันที “พงศกร?”
วรยาก็มึนงงไปด้วย “แล้วเรื่องนี้พงศกรมาเกี่ยวอะไรด้วย ?”
นัทธีเอนหลังพิงไปที่เก้าอี้“ คุณบอกว่า คนที่ลักพาตัวคุณ กับคนที่เผาโกดังของคุณ อาจจะเป็นคนเดียวกัน ดังนั้นผมจึงได้สืบจากเบาะแสนี้ และพบร่องรอยของพงศกร แม้จะไม่มาก แต่เขาน่าจะรู้อะไรบ้าง และยังไม่ได้บอกคุณ”
“ไม่หรอกมั้ง!”สีหน้าของวารุณีก็เคร่งเครียดขึ้นมา
วรยาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
นัทธีหรี่ตาลง รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย“ คุณไม่เชื่อผมเหรอ?”
“ไม่ใช่”วารุณีรีบส่ายหน้าให้ทันที“ ฉันแค่แปลกใจมากก็เท่านั้น”
นัทธีเม้มริมฝีปากบางๆของเขา“พงศกรไม่ใช่คนธรรมดา ผมก็เคยบอกคุณไปก่อนหน้านั้นแล้ว ”
วารุณีแย้งกลับไม่ได้
จริงดังว่า ก่อนหน้านั้น เขาเคยบอกเธอแล้ว ว่าพงศกรนั้นไม่ธรรมดา
เพราะเธอไม่เชื่อเอง
“ไม่ได้ ฉันต้องถามพงศกรดู ว่าเขารู้ตัวคนที่จะเล่นงานฉันไหม แล้วทำไมเขาต้องปิดบังคนคนนั้นเอาไว้ด้วย ”
เมื่อพูดจบ วารุณีก็กำลังจะไปหยิบกระเป๋าเพื่อหาโทรศัพท์ของเธอ
นัทธีคว้ามือเธอเอาไว้ “ ไม่มีประโยชน์หรอก คุณถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เพราะหากพงศกรเขาอยากจะบอกคุณ ก็คงบอกคุณไปนานแล้ว ที่เขาไม่พูด คุณลองเดาสิว่ามันเป็นเพราะอะไร ?”
วารุณีอ้าปากค้าง ตอบกลับอย่างไม่รู้ตัวว่า“ เพราะคนคนนั้น มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเขา?”
ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ปกป้องอีกคนขนาดนั้น
ดวงตานัทธีไหววูบ “ก็อาจจะ”
ที่เธอพูดมันก็คือเหตุผลส่วนหนึ่ง
แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือพงศกรอาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกันกับคนคนนั้น เขาจึงได้ปกป้องคนคนนั้น แต่ชายหนุ่มคิดว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่นี้ยังไม่ควรที่จะพูดมันออกไป เพราะหากพูดไปแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้บรรยากาศตึงเครียดหนักมากขึ้นไปอีกก็เท่านั้น
เมื่อวรยาเห็นวารุณีอารมณ์เริ่มจะไม่ค่อยดี ก็ปรบมือ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย“พอแล้วพอได้แล้ว ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว นัทธี ป้ายังมีอีกคำถามสุดท้าย”
“เชิญครับ”นัทธีดึงมือออกจากหลังมือของวารุณี
วรยามองสำรวจไปยังวารุณีกับเขาสลับไปมา “แหวนที่เราให้วารุณี ป้าเห็นมันแล้ว ก็น่าจะถือว่าขอแต่งงานกันแล้ว แล้วเราคิดว่าพร้อมจะแต่งงานกับวารุณีได้เมื่อไหร่?”
“แม่!”วารุณีไม่คิดว่าที่วรยาต้องการจะถามคือเรื่องนี้ ใบหน้าเรียวเล็กก็เห่อร้อนขึ้นมา เธอแอบชำเลืองมองไปยังนัทธีแวบหนึ่ง อยากจะดูว่านัทธีจะโมโหหรือเปล่า
เพราะวรยาถามคำถามไปแบบนี้ ก็เหมือนกับจะบังคับให้แต่งงานยังไงอย่างงั้น
แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ เป็นวารุณีที่คิดมากไปเอง นัทธีไม่ได้โกรธ แต่กลับคิดหนักและจริงจังกับคำถามของวรยา
ครุ่นคิดอยู่ไม่นาน นัทธีก็มองไปที่วารุณี ตอบกลับด้วยแววตาที่จริงจังว่า “ สำหรับผมเมื่อไรก็ได้ แล้วคุณละ?”
วารุณีริมฝีปากขยับไปมา “ฉัน……ฉันไม่รู้……”
นัทธีขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบของเธอ
วารุณีก็รู้เช่นกันว่าคำตอบของเธอนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจมากนักแต่เธอไม่มีทางเลือก เพราะเธอไม่รู้จริงๆ
วรยาเองก็ถูกลูกสาวตัวเองแสดงท่าทีออกมาจนไม่รู้จะพูดยังไง ก็จึงถอนหายใจ“ไม่งั้นก็เอาอย่างนี้ พวกลูกไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เพราะยังไงตอนนี้วารุณีก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านเราแล้ว หากไม่มีทะเบียนสมรส คนอื่นก็จะเอาไปพูดได้ มีทะเบียนสมรส เรื่องงานแต่งงาน ก็ค่อยมาคุยกันทีหลัง พวกลูกมีความเห็นว่ายังไง?”
“ได้ครับ”นัทธีคิดว่าข้อเสนอนี้ของวรยานั้นค่อนข้างดีเอามากๆ
จดทะเบียนสมรสแล้ว เขาก็ยังพอมีเวลาเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานอีกด้วย
เพราะขอแต่งงานก็ขอไปด้วยวิธีง่ายๆ สำหรับงานแต่งงานของวารุณี เขาไม่อยากจะทำให้มันเรียบง่ายอีก เขาอยากจะทำมันอย่างยิ่งใหญ่ให้กับเธอ
“แล้วลูกละ วารุณี ?”เมื่อวรยาเห็นวารุณีเงียบไป ก็จับจ้องมองไปที่เธอ
นัทธีก็จ้องมองมาที่เธอเช่นกัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาทั้งสองคู่ วารุณีก็ไม่กล้าที่จะมองสบตาด้วย ใบหน้าที่เห่อร้อนก็พยักหน้ากลับเบาๆ“หนูก็ไม่มีปัญหาค่ะ ”
“งั้นก็ตกลงตามนี้ พวกเราก็พากันไปจดทะเบียนก่อนก็แล้วกัน ”วรยาปรบมือ สรุปความเห็นสุดท้าย
นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง ตกลงตามนั้น
วารุณีก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรเหมือนกัน พยักหน้ารับ “ได้ค่ะ”
“ดีเลย คุณพ่อกับหม่ามี๊จะแต่งงานกันแล้ว!”อารัณที่คอยแอบฟังการสนทนาของผู้ใหญ่อยู่ เมื่อได้ยินว่าวารุณีกับนัทธีจะไปจดทะเบียนสมรสด้วยกัน ทันใดนั้นก็ปรบมือออกมาด้วยความดีใจ
มีเพียงไอริณเท่านั้นที่ยังคงมึนงงสงสัย กะพริบตาปริบๆแล้วถามว่า “พี่อารัณ อะไรคือแต่งงานเหรอคะ ?”
“แต่งงานก็คือ……”อารัณเกาหัว จู่ๆก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เธอฟังยังไง
เขารู้ว่าการแต่งงานคืออะไร แต่ใช้ภาษา อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ร้อนรนจนหน้าย่นไปด้วย
เมื่อวรยาเห็นดังนั้น ก็พูดอย่างจนใจว่า “การแต่งงานก็คือ ต่อไปพวกเราทุกๆคนก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน!”
“พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”ไอริณเอียงคอ ท่าทีน่ารักมาก
วรยาถึงกับขำ“ใช่ๆๆ ครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน !”
แม้กระทั่งกับนัทธีเองก็ยังต้องยกยิ้มมุมปาก ยกนิ้วโป้งขึ้นมาเช็ดเศษขนมที่มุมปากของเด็กหญิงตัวน้อย
วรยาเองก็เห็นการกระทำนี้ของเขา วรยาวางมือไปที่ใต้โต๊ะ แล้วสะกิดไปที่ต้นขาของวารุณี ใช้สายตาส่งสัญญาณให้
วารุณีเข้าใจความหมายของเธอทันที ขบริมฝีปาก “นัทธี รอให้ถึงวันเกิดของคุณ ฉันจะบอกความลับอะไรอย่างหนึ่งให้คุณดีไหมคะ ?”
“หืม?”นัทธีเลิกคิ้วขึ้น “ ความลับอะไรทำไมถึงบอกตอนนี้ไม่ได้ ?”
วารุณีใช้มือพันไปที่เส้นผมตัวเองแล้วยิ้ม“เพราะฉันอยากจะให้มันเป็นของขวัญวันเกิดกับคุณ”
“เหรอ ? งั้นผมจะตั้งตารอ”นัทธีหยิบแก้วน้ำขึ้นแล้วยกดื่ม
ไม่นาน เวลาอาหารมื้อค่ำก็จบลง
ในตอนที่ทุกคนออกมาจากร้านอาหาร ก็เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว
วารุณีกับนัทธีจูงมือของเด็กๆยืนรออยู่ริมถนน เพื่อส่งวรยา
จนกระทั่งวรยาขึ้นรถแท็กซี่ และรถก็แล่นออกไปไกลแล้ว ทั้งสี่คนก็ถึงจะไปขึ้นรถของตัวเองกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่วารุณีกับนัทธีได้ส่งเด็กๆที่โรงเรียนแล้ว ก็ขับรถตรงไปยังสำนักงานเขต
มาถึงที่หน้าประตูของสำนักงานเขต จู่ๆวารุณีก็ไม่ยอมเดินเข้าไป
นัทธีเองก็หยุดเดินแล้วหันไปมองเธอ “เป็นอะไรไป?”
“จะไปจดกันจริงๆเหรอ ?” วารุณีถามพลางกัดริมฝีปาก
นัทธีขมวดคิ้ว “คุณจะคืนคำเหรอ ?”
“ไม่ ไม่แน่นอน ”เธอรีบส่ายหน้าและโบกมือให้ “ฉันแค่รู้สึกประหม่านิดหน่อย”
คืนก่อน เรื่องการแต่งงานของเขา ยังไม่มีแม้แต่เงาเลย
แต่พอข้ามคืนก็มาจดทะเบียนกันแล้วเธอไม่ประหม่าสิแปลก
นัทธีกุมไปที่มือของวารุณี ก็พบว่ามือเธอทั้งเย็นและมีเหงื่อออกเต็มไปหมด เห็นชัดว่าเธอตื่นเต้นมาก อดไม่ได้ที่จะบีบมือเธอเอาไว้ “ไม่เป็นไร อย่ากังวลไป มีผมอยู่ทั้งคน !”
เมื่อได้ยินคำนี้ ในใจของวารุณีก็สั่นไหว มองดูท่าทีที่จริงจังของเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอก็พยักหน้าให้อย่างไม่รู้ตัว“ค่ะ”
เมื่อรู้สึกว่าวารุณีได้ผ่อนคลายลงแล้ว นัทธีก็ก้าวเท้าเดินอีกครั้ง “ไปกันเถอะ”
พูดจบ เขาก็จูงมือพาเธอเดินเข้าไปยังประตูของสำนักงานเขต
ผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง
ทั้งสองคนก็เดินตามกันออกมาจากสำนักงานเขต
นัทธีเดินนำหน้า วารุณีเดินตามหลัง ในมือถือซองเอกสาร สีหน้าท่าทางมึนงงสับสน “นี่ฉัน……ฉันแต่งงานแล้วจริงๆเหรอ?”