พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 302 คืนแต่งงานที่โดดเดี่ยว
นัทธีไม่แปลกใจกับการคาดเดาของเธอในความคิดของเขา กำโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วตอบ“นวิยาเข้าห้องฉุกเฉิน ผมต้องไปดูเธอ”
“ไม่ไปได้ไหม?”วารุณีกำมือแน่นแล้วมองเขา
นัทธีขมวดคิ้วเล็กน้อย“ขอโทษนะ ผมจำเป็นต้องไป ไม่งั้นผมไม่วางใจ”
“แต่ว่าวันนี้พวกเราแต่งงานกันวันแรก”วารุณีก็ยืนขึ้นมา
นัทธีคลายคิ้วที่ขมวดลง มีความรู้สึกขอโทษในแววตา“ผมรู้ แต่เดี๋ยวผมกลับมาแป๊บเดียว”
พอได้ยิน วารุณีก็ไม่พูดอะไร ละสายตาลงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปสองสามนาที เธอก็สูดหายใจลึกๆ เงยมองเขา“ฉันรู้ ไม่ว่าสุดท้ายฉันจะพูดอย่างไร คุณก็จะไปใช่ไหมล่ะ โอเค คุณไปเถอะ ฉันไม่ขวางคุณ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”
“หือ?”หางตาของนัทธียกขึ้นมาเล็กน้อย
วารุณียกมุมปากขึ้นแล้วอธิบาย:“ที่คุยโทรศัพท์เมื่อกี๊ฉันได้ยินแล้ว เพราะคุณนวิยารู้ข่าวที่พวกเราแต่งงานกัน ดังนั้นจึงดื่มเมาแล้วเข้าห้องฉุกเฉิน แต่ว่าต่อไปถ้าเธอได้ยินว่าฉันมีลูกแล้ว หรือว่าไปเดทแล้วเป็นแบบนี้ คุณจะไปดูเธอแบบนี้ทุกครั้งเลยไหม?”
คำนี้ทำให้รูม่านตาของนัทธีหดลง ตระหนักได้ว่าตัวเองได้ยินว่านวิยาเกิดเรื่อง ก็รีบไปแบบนี้ จึงใจร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ดังนั้นนัทธีจึงยื่นแขนไป กอดวารุณีไว้ในอ้อมแขน ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอแบบนี้ แล้วพูดรับประกันไปว่า:“ไม่มีทาง ผมจะพูดกับเธอให้ชัดเจน ให้ครั้งหน้าเธออย่าทำแบบนี้อีก”
“หวังว่าเธอจะฟังนะ”มุมปากของวารุณียกขึ้นเป็นมุมอย่างเยาะเย้ย
เธอไม่คิดว่าครั้งหน้านวิยาจะไม่ทำแบบนี้
นวิยาเอาแต่พูดว่า ยินดีกับเธอและนัทธี แต่สุดท้ายละ พอได้ยินว่าเธอกับนัทธีแต่งงานกัน ก็ดื่มจนพาตัวเองเข้าห้องฉุกเฉิน พฤติกรรมแบบนี้เสียใจหรือว่าจงใจทำลายคืนวันแต่งงานของเธอกับนัทธีกันแน่ กลัวว่าจะมีแค่ในใจของนวิยาเองคนเดียวที่รู้ดี
“โอเค คุณรีบไปเถอะ รีบไปรีบกลับนะ”วารุณีพูดออกมาเบาๆ ถอยออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองเธอ แล้วจูบไปที่หน้าผากของเธอ แล้วจึงหยิบเสื้อคลุมตัวนอกบนเก้าอี้ขึ้นมา แล้วเดินไปด้านนอกห้องอาหาร
วารุณีก็ตามออกไป จนกระทั่งส่งเขาไปถึงด้านนอกคฤหาสน์ มองส่งเขาขับรถออกไปไหล เธอก็หันกลับไปที่คฤหาสน์
ในคฤหาสน์ว่างเปล่าและเงียบสงบ ถึงแม้จะมีการตกแต่งฉลอง แต่เธอก็ไม่รู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด กลับรู้สึกหนาวเล็กน้อย เดิมทีที่อารมณ์ดี ก็หายไปหมด
วารุณีลูบแขนกลับไปที่ห้องอาหาร ดึงเก้าอี้ออกมานั่งไปใหม่ จ้องสเต๊กสองจานบนโต๊ะที่ยังไม่แตะด้วยรอยยิ้มขมขื่น“คืนวันแต่งงาน เจ้าบ่าวทิ้งเจ้าสาวไปเจอผู้หญิงอีกคน นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
เธอถือมีดและส้อมขึ้นมา จิ้มเนื้อในจานอย่างหมดแรง
ถึงแม้เธอสามารถเข้าได้กับพฤติกรรมที่นัทธีไปพบนวิยา ยังไงความรู้สึกตั้งแต่เด็กของพวกเขาก็อยู่ตรงนั้น ถ้าเขาไม่ไป กลับแสดงออกชัดเจนว่าเขาไร้ความรู้สึก
แต่ในใจเธอ ก็ยังเสียใจมากอยู่ดี เพราะว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้
วารุณีกัดสเต๊กด้วยอารมณ์อันขมขื่น จากนั้นถือจานไปล้างที่ครัว
ล้างเสร็จแล้ว เธอก็ขึ้นมาข้างบนแล้วกลับไปที่ห้อง อาบน้ำนอนบนเตียง เตรียมวาดรูปออกแบบไป ก็รอนัทธีกลับมาด้วย
แต่รอจนตีหนึ่ง วารุณีหาวติดๆกัน นัทธีก็ยังไม่กลับมา ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด
“ไหนว่าแป๊บเดียวก็กลับมาไง นี่มันสี่ห้าชั่วโมงแล้ว”วารุณีพึมพำ ขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหานัทธี จะถามเขาว่ากลับมาเมื่อไหร่
สุดท้ายพอโทรไป โทรศัพท์ของเขาก็ดันปิดเครื่อง
หมดหนทาง วารุณีได้แต่วางโทรศัพท์ลง นวดขมับ มองไปที่เพดานนิ่งๆ จินตนาการว่านัทธีในตอนนี้ กำลังทำอะไรอยู่
คิดไปได้สักพัก เส้นตรงหน้าเธอค่อยๆพร่ามัว สุดท้ายก็หลับไปเพราะทนความง่วงไม่ไหว
และหลังจากเธอหลับไปไม่นาน ด้านนอกคฤหาสน์ก็มีเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์เข้ามา
แป๊บเดียว ประตูห้องก็ส่งเสียงดังเพราะมีคนเปิด ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเข้ามาผ่านแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานสูง ไม่ได้เปิดไฟ เดินมาที่ข้างเตียง
คนที่มาหยุดลงที่ข้างเตียง ก้มหน้ามองหญิงสาวที่หลับบนเตียงสักพัก แล้วจึงเอนตัวลงไป จูบลงที่หน้าของหญิงสาว จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องน้ำ
วันถัดมา ตอนที่วารุณีตื่นมา พบว่าช่วงเอวมีแขนข้างหนึ่ง กำลังกอดเธอแน่น
เธอตะลึงก่อน หลังจากในหัวได้สติดีแล้ว จึงหันไปมองข้างๆ
เห็นชายหนุ่มหลับตาสองข้างแน่นแล้วนอนข้างเธออย่างสนิท เธอก็เบิกตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ“อ้าวกลับมาแล้ว!”
เมื่อคืนก่อนเธอนอน ไม่ได้อยู่รอเขามา
เธอยังคิดว่า เขาจะไม่กลับมาเสียอีก ไม่คิดว่าสุดท้ายเขาจะยังกลับมา ไม่รู้ว่ากลับมาตอนไหนกันแน่
วารุณีมองชายหนุ่มที่ขมวดคิ้วแน่น และขอบตาคล้ำบางๆที่เปลือกตา ก็รู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มอ่อนล้ามาก ไม่งั้นไม่หลับลึกขนาดนี้แน่
ต้องรู้ว่า ปกติเธอขยับนิดหน่อย เขาก็จะตื่นขึ้นมาทันทีเลย
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขายุ่งอะไรกับนวิยากันแน่ ถึงเหนื่อยแบบนี้ได้
เวลานั้น ในใจของวารุณีก็รู้สึกเจ็บแปลบ
ยังไงสามีของตัวเอง ก็ยุ่งเพราะผู้หญิงคนอื่น ถ้าเธอรู้สึกดีสิแปลก
เธอแทบอยากจะเรียกเขาตื่น ให้เขาสารภาพทุกอย่างเกี่ยวกับเมื่อคืน
แต่สุดท้าย วารุณีเลิกความคิดที่จะปลุกนัทธี เขาเหนื่อยจนสภาพแบบนี้ เธอก็ทำใจไม่ไหว
คิดไป วารุณีก็แอบถอนหายใจ จากนั้นเอาแขนของนัทธีออกไปจากเอวเบาๆ เปิดผ้าห่มแล้วลงจากเตียง เขย่งเท้าเดินอาบน้ำที่ห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปจากห้อง
มาที่ชั้นล่าง ป้าส้มก็กลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังถือผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะน้ำชา รื้อของตกแต่งที่ห้องรับแขกออก ได้ยินเสียงฝีเท้า จึงเงยมองไปที่บันได“คุณผู้หญิง คุณตื่นแล้วเหรอ”
คำว่าคุณผู้หญิงนี้วารุณีไม่ชินอย่างมาก ถึงแม้เมื่อคืนเธอจะเห็นบนโน้ตแล้ว แต่ความรู้สึกที่เขียนออกมา กับเรียกออกมา ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดังนั้นตอนนี้จึงได้ยินป้าส้มเรียกเธอว่าคุณผู้หญิง เธอก็ระมัดระวังอย่างมาก เขินเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตอบกลับ“สวัสดีตอนเช้าค่ะ ป้าส้ม”
ยังไง เธอกับนัทธีก็แต่งงานกันแล้ว เป็นคุณหญิงของตระกูลไชยรัตน์แล้วจริงๆ
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณผู้หญิง”ป้าส้มเช็ดมือที่ผ้ากันเปื้อน จากนั้นมองไปด้านหลังของวารุณี“คุณผู้ชายยังไม่ตื่นอีกเหรอคะ?”
วารุณีส่ายหน้า“ไม่ค่ะ เขาเหนื่อย ยังหลับอยู่เลย”
ได้ยินคำนี้ ป้าส้มยิ้มอย่างไม่พูดอะไรทันที ปิดริมฝีปากแล้วพูด:“งั้นนอนเลยค่ะ นอนไปเลย เหอะๆ”
มองอาการของป้าส้มแล้ว วารุณีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าป้าส้มเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อคืนเธอกับนัทธีร้อนแรงกันสินะ
แต่วารุณีได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้อธิบายว่าเธอกับนัทธีไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ยังไงพูดเรื่องแบบนี้ออกมา ก็ไม่มีความหมาย เธอเก็บไว้ในใจของตัวเองก็พอ
“ป้าส้ม มีของกินไหมคะ?”วารุณีลูบท้อง เปลี่ยนเรื่องคุย“ฉันหิวหน่อยๆแล้ว”
“มีๆๆ”ป้าส้มรีบพยักหน้า วางผ้าขี้ริ้วแล้วเดินไปที่ครัว เดินไปพูดไปว่า:“ตอนที่ป้ากลับมาซื้อแม่ไก่มาโดยเฉพาะ ตอนนี้น่าจะเสร็จแล้ว คุณผู้หญิงไปรอป้าที่ห้องอาหารเลยนะคะ”
“ค่ะ”วารุณีตอบกลับยิ้มๆ
ไม่ถึงสองนาที ป้าส้มก็ถือซุปไก่กับอาหารเช้ามา
วารุณีดมกลิ่นหอมๆ อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง
ป้าส้มตักซุปไก่มาชามหนึ่ง วางไว้ตรงหน้าเธอ“คุณผู้หญิง รีบทานตอนอุ่นๆ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะคาวนะคะ”
“ขอบคุณค่ะป้าส้ม”วารุณีขอบคุณเสร็จ ก็หยิบช้อนมาคนในชาม แล้วตักขึ้นมาใส่ปาก ดวงตาเป็นประกาย
“คุณผู้หญิง รสชาติเป็นไงบ้างคะ?”ป้าส้มมองเธอแล้วถาม