พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 305 เขาคือสามีคุณเหรอ
สายตานวิยาหม่นลง กำลังจะพูด วารุณีก็ชิงพูดไปก่อนอีกว่า:“ถ้ารู้แบบนี้คุณก็จะไม่ดื่มเหล้าจนตัวเองป่วยใช่ไหมคะ?”
“คุณวารุณี คุณหมายความว่าไงคะ คุณจะบอกว่าฉันจงใจเหรอ?”นวิยากำโทรศัพท์แน่น
“เหลวไหล คุณจงใจแน่นอน”ปาจรีย์ทนไม่ไหว ก้มหน้าลงตะโกนใส่โทรศัพท์ของวารุณี
นวิยาได้ยินเสียงของเธอ คิ้วที่คลายออกก็ขมวดเข้า“คุณคือใคร?”
“โหย ลืมฉันไวขนาดนี้เชียวเหรอ เมื่อก่อนตอนที่คุณไปเยี่ยมพงศกร ไม่ใช่ว่าเกรงใจฉันเหรอ?”ปาจรีย์กลอกตาใส่
ตาของนวิยาโตขึ้นมาเล็กน้อย นึกออก“คุณคือคุณปาจรีย์”
“ใช่ค่ะ”ปาจรีย์เงยคางขึ้นมา ยอมรับตัวตนของตัวเอง
สีหน้าของนวิยานั้นเย็นชา“คุณปาจรีย์ ฉันกับคุณดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหากันมาก่อนนะคะ ทำไมคุณต้องบอกว่าฉันจงใจด้วย”
ปาจรีย์ยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ย“พวกเราไม่มีปัญหากันมาก่อนค่ะ แต่คุณอย่าลืม ฉันเป็นเพื่อนสนิทของวารุณี คุณทำให้วารุณีอึดอัดใจ ก็เท่ากับว่ามีปัญหากับฉัน อีกอย่าง ทำไมถึงพูดว่าคุณตั้งใจ หรือว่าไม่ใช่เหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่……”
“ไม่ค่ะ คุณน่ะทำ!”ปาจรีย์ก็ทำอย่างที่วารุณีทำเมื่อกี๊ ไม่รอให้นวิยาพูดจบ ก็ตัดบทของเธอเลย“คุณน่ะจงใจ รู้ว่าวารุณีกับประธานนัทธีจดทะเบียนและแต่งงานกันแล้ว ดังนั้นจึงจงใจทำให้ตัวเองเมา เรียกประธานนัทธีไปจากข้างกายวารุณี เพราะอยากทำลายคืนแต่งงานพวกเขา”
“ฉันเปล่า!”นวิยากัดริมฝีปากอย่างน้อยใจ
ปาจรีย์ทำเสียงฮึดฮัดใส่“พอที คุณไม่ทำสิแปลก ท่าทางใสซื่ออย่างคุณ ฉันเห็นมาเยอะแล้วค่ะ หลอกฉันไม่ได้”
“ฉัน……”นวิยาเหมือนจะเถียงเธอไม่ได้ ละสายตาลงแล้วร้องไห้
วารุณีเอามือจับไปที่ไหล่ของปาจรีย์“พอเถอะปาจรีย์ ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวเธอโกรธจนหมดสติไป จะกลายเป็นความผิดของเธอ”
พอได้ยิน ปาจรีย์ก็หลับตาแน่น ไม่พูด
เธอกลัวจริงๆว่าจะทำให้เธอโกรธจนหมดสติ ถึงตอนนั้น เธอแบกความรับผิดชอบไม่ไหว
“คุณนวิยา คุณอย่าร้องไห้เลยค่ะ ฉันขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ ขอโทษค่ะ พูดอะไรตรงๆ คุณอย่าแปลกใจเลยนะคะ”วารุณีปิดลำโพง เอาโทรศัพท์วางไว้ข้างหู ขอโทษอย่างรู้สึกผิด
นวิยาเช็ดขอบตา“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ คุณปาจรีย์เข้าใจฉันผิดเป็นเรื่องปกติ ยังไงทุกอย่างในเมื่อคืนก็เหมือนฉันจงใจจริง แต่ฉันไม่ได้จงใจจริงๆนะคะ ฉันเสียใจมากไปหน่อย ถึงแม้ฉันบอกว่าจะปล่อยนัทธีไป แต่ในใจฉันก็ยังมีนัทธีอยู่”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็สะอึกสะอื้น และพูดต่อไปว่า:“คุณวารุณีน่าจะเข้าใจฉันนะ คนที่รักแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ใครก็เสียใจทั้งนั้น ดังนั้นฉันจึงทนไม่ไหวต้องไปดื่มเหล้า”
“อือ ฉันเข้าใจค่ะ”วารุณีตอบกลับอย่างราบเรียบ
ปาจรีย์เอนไปข้างๆโทรศัพท์เธอแล้วฟัง กลับไม่พอใจหน่อยๆ แทรกไปอย่างทนไม่ไหวอีกครั้ง“คุณนวิยา คุณพูดแบบนี้ เหมือนว่าวารุณีของพวกเราแย่งประธานนัทธีปากคุณวะอย่างนั้น”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”นวิยารีบส่ายมือปฏิเสธ“คุณวารุณีคุณเชื่อฉันนะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ”
วารุณีบีบฝ่ามือ“ค่ะคุณนวิยา ฉันเชื่อคุณ”
“ปากไม่ตรงกับใจ!”ปาจรีย์ทำท่าภาษาปากใส่เธอ
วารุณีกะพริบตาแล้วหัวเราะไปด้วย
โอเค เธอยอมรับ เธอปากกับใจไม่ตรงกันจริงๆ ไม่เชื่อนวิยาจริงๆ
ยังไงความหมายที่นวิยาพูดนั้น ปาจรีย์ยังฟังออก แล้วเธอจะฟังไม่ออกได้อย่างไรกัน
แต่ นวิยาคิดว่าวารุณีเชื่อจริงๆ ก็มีท่าทางดีใจ หัวเราะออกมา“คุณวารุณีเชื่อฉันก็ดีค่ะ”
“ดังนั้นนะ คุณอย่าทำให้วารุณีผิดหวังที่เชื่อใจคุณนะคะ”ปาจรีย์เบะปาก พูดอีกครั้ง
ใบหน้าของนวิยาแข็งทื่อทันที จากนั้นก็หม่นลง พูดอย่างฝืนยิ้มออกไป“คุณปาจรีย์หมายความว่าไงคะ?”
“ความหมายก็คือ ต่อไปคุณก็อย่าทำร้ายตัวเองตามใจชอบ จากนั้นเรียกประธานนัทธีมาจากข้างกายวารุณีอีก เข้าใจไหม?”
ปาจรีย์หรี่ตาลง น้ำเสียงมีความตักเตือนเบาๆ“ตอนนี้ประธานนัทธีเป็นสามีภรรยากับวารุณีแล้ว คุณก็บอกว่าจะปล่อยประธานนัทธีแล้ว ดังนั้นต่อไปก็กรุณารักษาคำสัญญาด้วย อย่าทำเรื่องแบบเมื่อคืนอีก ไม่งั้นฉันจะคิดว่า คุณอยากแย่งประธานนัทธีมาจากวารุณี”
ประโยคนี้เรียกได้ว่าตรงไปตรงมา พูดจนนวิยาพูดไม่ออกเลย
เพราะพูดอะไรไปก็ไม่ถูก
วารุณียกนิ้วโป้งให้ปาจรีย์
ปาจรีย์เชิดคางใส่เธออย่างภูมิใจ
เธอส่ายหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นพูดกับปลายสายว่า:“เอาเถอะคุณนวิยา ที่ปาจรีย์พูดก็แค่พูดไปเฉยๆค่ะ คุณอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
“ฉันรู้”นวิยาฝืนฉีกยิ้มออกไป
วารุณีบีบไหล่ที่เจ็บหน่อยๆ“คุณนวิยามีอะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่มี ฉันวางก่อนนะ ฉันยังมีงานอีก”
“ไม่มีละค่ะ”นวิยาละสายตาลง ทำให้คนมองสายตาในดวงตาของเธอไม่ชัดเจน
วารุณีตอบอือ ไม่พูดลา ก็วางสายทิ้งเลย
ปาจรีย์บิดขี้เกียจขึ้นมา“โอเค ฉันก็ควรไปทำงานแล้ว วีซ่าที่สถานทูตก็ได้แล้ว ฉันไปเอานะ”
“จะไปเยี่ยมพงศกรเมื่อไหร่?”วารุณีมองเธอแล้วถาม
สายตาของปาจรีย์ดูเศร้าลงไปเล็กน้อย“พรุ่งนี้เย็นน่ะ”
“โอเค งั้นฉันไปส่งเธอที่สนามบิน”วารุณีก็ยืนขึ้นมา ตบไหล่ของเธอ
ปาจรีย์พยักหน้า“ฉันรู้ พรุ่งนี้เป็นวันพิจารณาคดีของคุณป้ากับพ่อสุดเลวของเธอไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ฉันออกไปก่อนนะ”
เธอชี้ไปที่ประตู
วารุณีตอบอือ แล้วเอามือออก
ปาจรีย์หันกลับแล้วออกไป
ประตูออฟฟิศปิดอีกครั้ง วารุณียกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นนั่งลงไปอีกครั้ง แล้วเริ่มทำงาน
จนสี่โมงกว่า
วารุณีปิดคอม ตอนที่เตรียมไปรับลูก จู่ๆด้านนอกออฟฟิศก็มีเสียงดัง
เกิดอะไรขึ้น?
เธอยืนขึ้นมา เดินไปที่หน้าออฟฟิศด้วยความสงสัย กำลังจะเปิดประตู ก็มีเสียงเคาะประตูเข้ามา
วารุณีตกใจก่อน จากนั้นก็รีบตั้งสติ แล้วเปิดประตูออก
ตอนที่เปิดประตู เธอก็ตกใจไปหมด มองชายหนุ่มด้านนอกอย่างตะลึงงัน“คุณมาได้ไง?”
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู ก็คือสามีที่เพิ่งแต่งงานกันของเธอ นัทธี!
นี่คือครั้งแรกที่เขามาบริษัทของเธอ
“ผมมารับคุณ”สายตานัทธีมองวารุณี พูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“รับฉัน?”วารุณีเลิกคิ้วขึ้น ในใจรู้สึกตลกเล็กน้อย
หรือว่าเขาโง่เหรอไง ว่าเขาอยู่ที่นี่ จะดึงดูดความสนใจของผู้คนมากแค่ไหน?
วารุณีมองสายตาตกใจอยากรู้อยากเห็นของพนักงานกับพวกดีไซเนอร์พวกนั้นที่อยู่ด้านหลังนัทธี ก็รู้สึกปวดหัว
ก่อนนี้คนพวกนี้ถามเธอว่าสามีคือใคร เธอไม่ได้บอก เพราะอยากไม่เป็นที่สนใจ คิดไม่ถึงว่าเขามาแล้ว จะทำให้ความพยายามของเธอนั้นสูญเปล่า
“เป็นอะไรเหรอ?”มองรอยยิ้มขมขื่นของวารุณี นัทธีขมวดคิ้ว แววตาปรากฏความกังวลเล็กน้อย และยังยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเธอด้วย
พวกพนักงานดีไซเนอร์ที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นเห็นฉากนี้ ก็เอามือปิดปากอย่างหื่นๆ เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา
“ฉันไม่เป็นไร”วารุณีเอามือของนัทธีลงมาจากหน้าปากอย่างตลก
ตอนนี้เอง พนักงานคนหนึ่งก็สูดหายใจลึกๆ ยืนออกมาด้วยความกล้า กำหมัดแน่นแล้วถาม“บอสคะ ประธานนัทธีคือสามีที่เพิ่งแต่งงานของคุณเหรอ?”
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่นัทธีให้สัมภาษณ์ด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์กับสถานีโทรทัศน์ รูปก็ถูกเปิดเผย ทุกคนต่างรู้ว่าเขาคือประธานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
ดังนั้นวินาทีที่นัทธีปรากฏตัวที่นี่ ทุกคนจำเขาได้ทันที และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไม วารุณีถึงได้ยินด้านนอกเสียงดังจากข้างในห้องทำงาน