พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 377 คลิปวิดีโอเป็นของจริง
ดูแล้วนัทธีคงไม่เชื่อในคลิปวิดีโอนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังมีส่งผลกระทบอยู่บ้าง
ไม่อย่างนั้นจู่ๆคงไม่ทำตัวเย็นชากับวารุณีแบบนี้
วารุณีเองก็มั่นใจแล้ว ว่าการกระทำของนัทธีที่มีต่อเธอนั้นเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นเย็นชากับเธอขึ้นมาก
เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูก และรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
หรือเธอทำอะไรผิดไป ? ทำให้เขาโกรธ เขาเลยมีท่าทีแบบนี้กับเธอ ?
วารุณีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออกว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้า ในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก
หรือบางที เธอคงต้องคุยกับเขา เปิดอกคุยกันมันน่าจะดีกว่า
เมื่อคิดได้แบบนี้ วารุณีก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเดินเข้าคฤหาสน์ไป
หลังจากที่เข้ามาแล้ว เด็กทั้งสองคนก็นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา นวิยานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง และกำลังเล่นมือถืออยู่
วารุณีหันมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างของนัทธี จึงถามขึ้นว่า“คุณพ่อล่ะ?”
“คุณพ่ออยู่ที่ห้องหนังสือครับ”อารัณหันกลับมาตอบ
วารุณีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินขึ้นไปยังชั้นบน
นวิยาเงยหน้าขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของหญิงสาว มุมปากยกหยักขึ้นอย่างเงียบๆ
วารุณีมาถึงที่หน้าห้องหนังสือของนัทธี แล้วเคาะประตู
ภายในห้องมีเสียงทุ้มต่ำของนัทธีดังขึ้น “เข้ามา”
วารุณีเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป “นัทธี”
เมื่อนัทธีเห็นว่าเป็นเธอ ดวงตาก็มืดมนเล็กน้อย “คุณมาทำไม ?”
“ฉันอยากจะคุยกับคุณ”วารุณีเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม
นัทธีเม้มปาก“คุยอะไร?”
“คุยเรื่องท่าทีของคุณในวันนี้” วารุณีมองตรงไปยังใบหน้าที่เย็นชาของเขา “นัทธี วันนี้คุณเป็นอะไร ฉันรู้สึกว่าคุณไม่เหมือนกับทุกวัน ท่าทีที่คุณมีต่อฉันก็เปลี่ยนไป ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า หรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจใช่ไหมคะ?”
“ไม่มี”นัทธีหลุบตาลงแล้วพูดตอบเสียงเรียบ
วารุณีคลึงไปที่หว่างคิ้ว “แต่การแสดงของคุณมันไม่ได้บอกอย่างนั้น นัทธี ฉันทำอะไรผิดไปคุณก็พูดมาสิ ให้ฉันได้รู้ ฉันจะได้ขอโทษคุณ”
เธอเอามือวางไปที่อกของเธอ
เธอเกลียดความรู้สึกที่ต้องมาคาดเดา และต้องมาคิดเองอะไรแบบนี้
นัทธีลุกขึ้นยืน “ ผมบอกไปแล้วว่าไม่มีก็คือไม่มี”
“แต่ว่า……”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น คุณออกไปก่อนเถอะ”นัทธียกมือขึ้นกุมไปที่ขมับ
วารุณีมองไปยังท่าทีที่เย็นชาของเขา ริมฝีปากแดงๆก็ขยับไปมา แต่สุดท้ายก็เดินออกจากห้องไป
หลังจากที่เธอไปแล้ว นัทธีก็เปิดลิ้นชัก แล้วหยิบซิการ์ออกมาจุดไฟยกขึ้นจรดปาก แล้วสูบมัน
ควันสีขาวก็คละคลุ้งไปทั่ว ปกคลุมจนมองไม่เห็นใบหน้าของเขา
แต่ลมหายใจต่ำๆก็อบอวลไปรอบตัว และเผยให้เห็นอารมณ์ของเขาในขณะนี้ ที่ทั้งหนักอึ้ง กระวนกระวายใจ และสับสน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน นานจนซิการ์มวนหนึ่งเกือบจะหมด และโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา
นัทธีดับไฟของซิการ์ให้มอด หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วมองดู เป็นสายของมารุตที่โทรเข้ามา คงจะรู้ผลที่ให้ไปเช็กเมื่อตอนกลางวันแล้ว ในใจของเขาก็หนักอึ้งขึ้นมา ไม่มีความกล้าพอที่จะกดรับสาย
หากไม่รับ เขาก็ไม่ต้องมารับรู้ว่าคลิปวิดีโอนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม คิดซะว่ามันเป็นเพียงกลอุบาย แล้วกลับมาใช้ชีวิตครอบครัวกับวารุณีเหมือนเดิม
แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งบอกเขาว่า ต้องรับสาย และต้องรู้ความจริงของเรื่องนี้ให้ได้
เพราะว่า การสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อแม่เขา เขามุ่งมั่นและยืนหยัดมานานกว่าสิบปีแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะละทิ้งมันไปตอนนี้
ในจังหวะนั้น ขณะที่นัทธีกำลังลังเลว่าจะรับสายหรือไม่รับสายดีนั้น เพราะตัวเขารู้ดี ว่าหลังจากที่รับสายนี้ไปแล้ว นั้นก็หมายความว่าชีวิตหลังจากนี้ของเขา จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลัง
ดังนั้น เขาควรที่จะรับมันไหม?
นัทธีมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าดังไม่หยุด ก็เม้มริมฝีปากแน่น
แต่สุดท้าย เขาก็เลือกที่จะรับสาย อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อแม่ตัวเอง เพื่อเอาชนะความรู้สึกที่มีต่อวารุณี
“ฮัลโหล”นัทธียกโทรศัพท์ขึ้นแล้วแนบไปที่หู
“ท่านประธานครับ”มารุตเอ่ยเรียกชื่อเขา จากนั้นก็เงียบไป
เมื่อนัทธีเห็นเขาไม่พูดอะไร มือที่กำโทรศัพท์อยู่ ก็กระชับแน่นขึ้น หัวใจก็หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ผ่านไปสักพัก นัทธีก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “เช็กเรียบร้อยแล้ว ?”
“ท่านประธานครับ คนที่ส่งอีเมลยังเช็กไม่เจอว่าเป็นใคร อีกฝ่ายน่าจะเป็นแฮกเกอร์มือดี แต่คลิปนั้นตรวจสอบมาแล้ว คลิป……ไม่ได้มีการตัดต่อ และไม่ใช่มุมกล้องหรือจัดฉาก มันคือของจริงครับ!” คำหลังนี้มารุตพูดมันออกมาอย่างยากลำบาก
หลังจากที่พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด
ทำไมพระเจ้าต้องทำร้ายและทรมานคนแบบนี้ด้วย คุณผู้หญิงกลายมาเป็นศัตรูของท่านประธาน!
“จริงเหรอ……”นัทธีพูดคำนี้ออกมาด้วยเสียงต่ำ ท่าทีเย็นชาจนน่ากลัว
แม้มารุตจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ ร่างกายก็สั่นเทา“ ท่านประธาน คุณโอเคใช่ไหมครับ ?”
นัทธีไม่ได้ตอบ กดตัดสายทิ้งไป แล้วโยนโทรศัพท์ไปที่โต๊ะ เอามือปิดหน้า ร่างทั้งร่างจมอยู่ในความเงียบและความเจ็บปวด
ในที่สุดวารุณีก็ทำเขาผิดหวังจนได้
เขาวาดหวังแค่ไหนว่าเธอจะไม่ใช่ศัตรูของเขา แต่ผลสุดท้ายก็ชี้ชัดว่า เขาคิดผิดไป
เขาแต่งงานกับลูกของศัตรู แล้วยังดูแลหลานของศัตรูทั้งสองคนนั้นเหมือนลูกแท้ๆ หนำซ้ำยังคิดที่จะยกบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปให้เด็กสองคนอีกด้วย
พอมาคิดๆดูแล้ว เขาก็ช่างโง่จริงๆ !
ยังอยากจะยกทุกอย่างของตระกูลไชยรัตน์ ให้กับลูกของศัตรู
ไม่เพียงมีเขาคนเดียวที่โง่ คุณปู่ก็เหมือนกัน ยอมรับศัตรูที่ฆ่าลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเอง เป็นลูกบุญธรรม
ไม่แน่ว่าในตอนนั้นวรยาก็คงจะแอบหัวเราะเยาะความโง่ของคุณปู่ และหัวเราะเยาะทุกคนของตระกูลไชยรัตน์ว่าโง่เขลา
นัทธีก็หัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับคนบ้า ด้วยดวงตาก็แดงก่ำ
ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง“คุณผู้ชาย อาหารค่ำพร้อมแล้วค่ะ เชิญที่ห้องอาหารได้เลยนะคะ”
นัทธีไม่ได้ตอบกลับ
ป้าส้มที่อยู่ด้านนอกก็สงสัย “คุณผู้ชาย อยู่ในห้องไหมคะ ?”
นัทธีก็ยังคงเงียบ
ป้าส้มก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา กำลังจะเปิดประตูเข้าไปดู แต่ประตูก็ถูกเปิดออก นัทธีปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเธอ
เมื่อป้าส้มเห็น ก็จึงโล่งใจ “คุณผู้ชายอยู่ด้านในนี่เอง ป้าก็คิดว่าคุณหายไปไหนซะอีก คุณผู้ชาย ลงไปทานข้าวได้แล้วค่ะ ”
นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง เพื่อแสดงให้รู้ว่าได้ยินแล้ว
ป้าส้มไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปรกติของเขา จึงเดินตามหลังของชายหนุ่มลงไปยังชั้นล่าง
“คุณพ่อ”เมื่อเด็กทั้งสองคนเห็นนัทธีเดินลงมา ก็วิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
หากเป็นเวลาปกติ นัทธีจะย่อตัวลง แล้วอุ้มใครคนใดหนึ่งขึ้นมา อีกคนก็จะจูงที่มือแล้วเดินไป
แต่ครั้งนี้ เขาเดินหลบไปอีกทาง
เด็กทั้งสองคว้าได้แค่อากาศ และนิ่งอึ้งอยู่กับที่
ไอริณมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความน้อยใจ“คุณพ่อ?”
คุณพ่อไม่อุ้มเธอ แล้วยังหลบเธอด้วย
คุณพ่อไม่ชอบเธอแล้วใช่ไหม ?
เมื่อเทียบกับความคิดที่ไร้เดียงสาของไอริณ เห็นชัดว่าอารัณนั้นคิดมากยิ่งกว่า
เขากลับเห็นความรังเกียจ ในแววตาของพ่อ
ความรังเกียจที่มีต่อพวกเขา!
เพราะอะไร ?
อารัณกะพริบตาปริบๆอย่างงุนงง คิดหาสาเหตุไม่เจอ
เมื่อวารุณีออกมาจากห้องน้ำ ภาพที่เห็นก็คือการยืนประจันหน้ากันของลูกทั้งสองคนกับนัทธี ไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศระหว่างสามคนพ่อลูกมันดูแปลกมาก
“เป็นอะไรกัน ? มายืนอยู่ตรงนี้กันทำไม ?”วารุณีเดินเข้าไปหา ลูบไปที่ศีรษะของเด็กทั้งสอง แล้วถามออกไป
นัทธีเหลือบมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไปยังห้องอาหาร
สายตาของเขาเมื่อครู่ ทำเอาวารุณีร่างกายสั่นเทิ้ม แข็งทื่อไปทั้งตัว
หลังจากที่ได้สติ ก็ยังคงไม่อยากเชื่อ
เขา……ทำไมเขาต้องมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาแบบนี้ ?
“หม่ามี๊”ในขณะที่วารุณีกำลังตกตะลึง เด็กทั้งสองก็จับไปที่มือของเธอ
“ว่ายังไง?”วารุณีกักเก็บความกังวลที่มีในใจ แล้วยกยิ้มให้กับเด็กทั้งสองคน
“หม่ามี๊ คุณพ่ออารมณ์ไม่ดีใช่ไหมคะ เมื่อกี้ไม่สนใจไอริณกับพี่อารัณเลย ไอริณอยากให้พ่ออุ้ม พ่อก็เดินหนี ”ไอริณยู่ปาก พูดออกมาอย่างไม่พอใจ
อารัณก็พยักหน้าให้ “ใช่ครับ หม่ามี๊ ท่าทีของคุณพ่อก็ดูแปลกๆ เหมือนเขาเกลียดผมกับไอริณเลย ”