พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 392 เกี่ยวข้องกับกับวรยา
มารุตถอนหายใจ “เรื่องแบบนี้ผมพูดไม่ได้หรอก ดังนั้นอย่าถามและรีบกลับไปเถอะ”
เขาผลักปาจรีย์ให้เข้าไปในลิฟต์
ปาจรีย์ไม่ยอมแพ้และยังอยากจะถามอะไรต่อ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็ถูกลิฟต์ปิดเข้าให้
หมดหนทาง ปาจรีย์ได้แต่กระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง “ไอ้เลวเอ๊ย มาทำให้อยากรู้แล้วก็ไม่บอก เป็นคนยังไงกันเนี่ย”
แม้ว่าในใจของเธอจะไม่มีความสุขเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเข้ามาในลิฟต์แล้วหากย้อนกลับไปถามก็คงจะไม่เหมาะจึงทำได้เพียงยอมแพ้และกลับไปถามวารุณีว่ารู้หรือไม่ว่าคุณป้าสะใภ้ที่เสียไปแล้วได้ไปทำอะไรให้นัทธีขุ่นเคืองใจกัน
อย่างไรก็ตามการมาในครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่า
ปาจรีย์ก้มหน้ามองลงไปที่เส้นผมที่อยู่ในมือพร้อมกับยิ้มออกมา
การมาของเธอในครั้งนี้ถือว่าเป็นการช่วยวารุณีสั่งสอนนัทธีแล้ว
แต่ต่อมาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าวารุณีจะทำการทดสอบความเป็นพ่อลูกและหล่อนยังไม่มีเส้นผม นั่นจึงทำให้เธอจึงมีความกล้าที่จะไปดึงผมของนัทธีมาสองสามเส้น
ตอนนี้เกรงว่านัทธีอาจเกลียดเธอไปแล้วก็ได้ เธอจะไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาเป็นการชั่วคราวก็แล้วกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเขาหักดังแคร๊กเข้าให้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ร่างกายของเธอก็สั่นเทาไปด้วยความกลัวจากนั้นก็ได้หยิบกระดาษทิชชูออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับห่อผมลงไปอย่างระมัดระวัง
ตึ๊ง ลิฟต์มาถึงแล้ว
ปาจรีย์เดินออกมาไปจากประตูบริษัท ขณะที่เดินก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับโทรไปหาวารุณี “วารุณี มีข่าวดีแหละ”
“ข่าวดีอะไรกัน?” วารุณีที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะและแก้ไขภาพวาดที่นักออกแบบส่งมาให้ก็ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“ฉันช่วยหล่อนเอาเส้นผมของนัทธีมาได้แล้ว” ปาจรีย์พูด
วารุณีตกใจจนดินสอทั้งหมดที่อยู่ในมือตกลงไปบนโต๊ะ “เธอไปเอามาได้ยังไงกัน?”
“คือว่า…ช่างมันเถอะ ฉันจะบอกความจริงกับหล่อนเอง จริงๆแล้วฉันไม่ได้ไปที่แผนกโรงงานแต่มาที่บริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปต่างหาก ประธานนัทธีทำกับหล่อนขนาดนั้นฉันทนไม่ไหวก็เลยช่วยพูดไปให้แล้วอีกทั้งยังดึงเส้นผมมาได้อีกสองสามเส้นด้วย” ขณะที่ปาจรีย์พูดก็ได้ลูบไปที่จมูกของตัวเอง
วารุณีขดริมฝีปากสองที ซึ้งใจก็ซึ้งใจแต่ก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “เธอนี่นะ ไม่กลัวว่าเขาจะแก้แค้นเธอหรือไงกัน?”
“ไม่เป็นไร เขาคงไม่ฆ่าฉันหรอก” ปาจรีย์ยักไหล่และไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น
วารุณีส่ายหัว “แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน?”
“ตอนนี้ฉันออกมาจากบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปแล้ว กำลังจะกลับไปบริษัทและเอาผมไปให้หล่อนเนี่ยแหละ อีกอย่างฉันมีเรื่องอื่นจะคุยกับหล่อนด้วย”
“โอเค เดินทางระวังด้วยล่ะ” วารุณีพยักหน้า
เมื่อจบการสนทนา ปาจรีย์ก็ได้ขึ้นรถและขับออกไป
จนกระทั่งรถของเธอค่อยๆขับออกไปไกลจนลิบตา ร่างร่างหนึ่งก็ได้ออกมาจากด้านหลังของแปลงดอกไม้หน้าประตูบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ป จ้องมองไปทางที่รถขับไปด้วยแววตาที่มืดมน
หากหล่อนฟังไม่ผิดล่ะก็ ปาจรีย์บอกว่าได้เส้นผมของนัทธีมาแล้วและจะเอาไปให้วารุณี
เป็นไปได้ไหมว่าวารุณีต้องการเอาเส้นผมไปทดสอบความเป็นพ่อลูกกับเด็กสองคนนั่น?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นวิยาก็ได้ดึงดอกไม้ตรงแปลงออกมาอย่างกะทันหัน ดอกไม้นั้นถูกดึงจนไม่เหลือเศษซากชิ้นดี
“ไม่ได้ ฉันจะต้องทำลายเส้นผมของนัทธี ยังไงก็จะให้วารุณีเอาไปทดสอบไม่ได้” นวิยากระซิบกระซาบด้วยเสียงทุ้มต่ำ น้ำเสียงเย็นชาจนทำให้คนกลัว
เดิมทีหล่อนเดินจากไปแล้วแต่ระหว่างทางดันนึกขึ้นได้ว่าลืมของเลยเดินกลับมาเอา
ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับปาจรีย์ที่กำลังเดินออกมา หล่อนไม่สามารถต่อปากต่อคำกับปาจรีย์ได้และไม่ต้องการเผชิญหน้าใดๆ นั่นจึงทำให้หล่อนต้องไปหลบซ่อนตัวและได้ยินสิ่งที่ปาจรีย์พูดออกมาอย่างไม่คาดคิด
ดีนะที่ได้ยินไม่งั้นคงแย่แน่ๆ หากรู้ว่าเด็กสองคนนั่นเป็นลูกของเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้อภัยวารุณีก็เป็นได้
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เขากับวารุณีแตกหักกัน ดังนั้นหล่อนจะไม่ยอมให้วารุณีทำสำเร็จหรอก
ขณะที่คิด นวิยาก็ได้สูดลมหายใจเข้าพร้อมกับหันหลังเดินจากไป
ปาจรีย์กลับมาที่บริษัทพร้อมกับนำเส้นผมมาให้วารุณี
วารุณีกางกระดาษทิชชู่ออกมาจึงเห็นเส้นผมห้าเส้นที่อยู่ด้านในและค่อยๆยิ้มออกมา “ขอบคุณเธอนะ ปาจรีย์”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ปาจรีย์โบกมือ
วารุณีจัดแจงเก็บเส้นผม “จริงด้วย เมื่อกี้ที่เธอคุยกับฉันทางโทรศัพท์บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องอะไรเหรอ?”
“จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกก็แค่ตอนที่ฉันไปบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปดันไปเจอนวิยาเข้าให้น่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปหล่อนจะมาทำงานที่บริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปแล้วแถมยังเป็นเลขาของนัทธีอีกด้วย” ขณะที่ปาจรีย์พูดก็ได้มองดูท่าทางของวารุณีอย่างสนอกสนใจ
สีหน้าท่าทางของวารุณีนั้นค้างงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้ก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นแววตาของหล่อน “จริงเหรอ?”
“วารุณี ต้องระวังเลยนะ ฉันดูออกเลยว่านวิยาน่ะคิดไม่ซื่อกับนัทธี แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะคบอยู่กับคุณหมอพิชิตแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะไปล่อลวงประธานนัทธีไม่ได้นะ” ปาจรีย์พูดเตือน
วารุณีขดริมฝีปาก “รู้แล้วล่ะ”
“รู้ก็ดีแล้ว” ปาจรีย์พยักหน้า “นอกจากนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่ง ครั้งนี้ฉันได้ถามประธานนัทธีถึงเหตุผลที่เขาปฏิบัติตัวเปลี่ยนไปกับหล่อนด้วย”
“อะไรนะ?” ดวงตาของวารุณีเบิกกว้างพร้อมกับจับไปที่มือของเธอ “เหตุผล?จริงเหรอ?เธอถามไปจริงเหรอ?”
“วารุณีหล่อนต้องใจเย็นก่อนนะ” ปาจรีย์รู้สึกต้านทานความตื่นเต้นของวารุณีไม่ค่อยได้จึงตบไปที่หลังมือของหล่อนเพื่อเป็นการบอกให้หล่อนสงบลง
ส่วนวารุณีที่รู้ว่าตัวเองนั้นตื่นเต้นไปหน่อยก็ได้ปล่อยมือออก “โทษที ฉันอยากรู้มากเกินไปน่ะ”
สองสามวันที่ผ่านมานี้ หล่อนนั้นถูกทรมานจากความเย็นชาของนัทธีจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว อยากรู้มาตลอดว่าทำไมเขาถึงทำกับหล่อนขนาดนี้
แต่เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมาและนั่นได้ทำให้หล่อนรู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายในใจ
“ฉันเข้าใจ” ปาจรีย์ยิ้มจากนั้นสีหน้าท่าทางก็ดูจริงจังขึ้นมา “จริงๆแล้วฉันก็ยังไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดหรอกเพราะว่าประธานนัทธีไม่ได้บอกฉัน เป็นผู้ช่วยมารุต่างหากที่เล่าให้ฉันฟัง ตอนแรกพวกเรานั้นต่างคิดว่าหล่อนได้ไปทำอะไรให้ประธานนัทธีขุ่นเคืองใจหรือเปล่า แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หล่อน เป็นคุณป้าสะใภ้ต่างหาก”
“แม่ฉัน?”
“อืม ผู้ช่วยมารุตบอกว่าเป็นคุณป้าสะใภ้และตัวหล่อนก็เป็นลูกสาวของเธอ ในเมื่อป้าสะใภ้ไม่อยู่แล้ว ประธานนัทธีก็เลยเอาความคับข้องใจนี้มาระบายลงกับหล่อนไงล่ะ?” ปาจรีย์พูด
ริมฝีปากของวารุณีขยับ ใบหน้าดูงงงวย “แต่ว่าแม่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรให้นัทธีขุ่นเคืองใจนะ แม่ฉันเจอนัทธีครั้งแรกก็เมื่อสี่เดือนก่อน จากนั้นไม่ถึงสองวันก็ไปต่างประเทศแล้ว กลับมาที่ประเทศอีกทีก็…ดังนั้นฉันจึงกล้ายืนยันว่าแม่ฉันไม่ได้ทำอะไรแน่นอน”
ถ้าทำจริง ทำไมตอนนั้นนัทธีถึงไม่โกรธล่ะ มาโทษหล่อนในตอนนี้ทำไม?
ปาจรีย์จับผม “ฉันเองก็รู้สึกว่ามันแปลก แต่เป็นไปได้ไหมว่าป้าสะใภ้ไม่ได้ไปทำอะไรในช่วงนั้นแต่เป็นไปทำอะไรไว้ก่อนหน้านั้นแทน แล้วคนที่ไปทำให้ขุ่นเคืองใจไม่ใช่ประธานนัทธีแต่เป็นคนในครอบครัวของเขาและเขาก็เพิ่งมารู้ในตอนนี้?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ วารุณีก็เงียบลงจากนั้นสักพักก็ส่ายหัวไปมา “เป็นไปไม่ได้หรอก แม่ฉันใจดีมากเลยนะ นอกจากคุณน้าขยานีกับลูกสาวและพ่อของฉันแล้วก็ไม่ได้อาฆาตมาดร้ายกับใครอีก สำหรับคนในครอบครัวของนัทธี นัทธีเองก็ไม่ลงรอยกับครอบครัวลูกชายคนโต พ่อแม่ของเขาก็จากไปก่อนเวลาอันควร จะมีก็แต่คุณท่านที่เสียไปเมื่อเจ็ดปีก่อนเท่านั้น…”
“เดี๋ยวนะวารุณี ฉันจำได้ที่หล่อนเคยพูดว่าป้าสะใภ้เป็นลูกบุญธรรมของคุณปู่ของประธานนัทธีใช่ไหม คุณปู่บรรพตเป็นคนเลี้ยงประธานนัทธีมา ดังนั้นในใจของประธานนัทธีก็เป็นคุณปู่ที่สนิทชิดเชื้อมากที่สุด แบบนั้น…”
“เธอกำลังจะบอกว่าแม่ของฉันไปทำอะไรคุณปู่บรรพตไว้แล้วนัทธีเพิ่งมารู้เอาตอนนี้น่ะเหรอ ดังนั้นเขาก็เลยมาทำกับฉันอย่างนี้?” รูม่านตาของวารุณีขยายใหญ่
ปาจรีย์พยักหน้า “นอกจากนี้ ฉันก็คิดถึงเหตุผลอื่นไม่ออกแล้วล่ะ”
วารุณีใช้ฝ่ามือกุมขมับพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ “แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างแม่กับคุณปู่บรรพตไหม ฉันรู้แค่ว่าแม่ของฉันเป็นลูกบุญธรรมของคุณปู่บรรพต แม่เพิ่งบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อสี่เดือนก่อนเองด้วยซ้ำ”
ปาจรีย์วางมือไว้บนไหล่ของหล่อน “หรือว่าจะลองถามศรัณย์ดูล่ะ แต่ก่อนร่างกายของศรัณย์ไม่ค่อยแข็งแรงและอยู่แต่บ้านตลอด จะมีก็แต่คุณป้าสะใภ้ที่คอยมาดูแลเขา เขาอาจจะรู้เรื่องหลายอย่างของคุณป้าสะใภ้ก็ได้นะ”
ดวงตาของวารุณีเป็นประกาย “เธอพูดถูก ฉันโทรหาศรัณย์หน่อยละกัน”
ขณะที่พูด หล่อนก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา