พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 405 ผลการสืบสวน
ขณะที่คิดอยู่ วารุณีตัดสินใจสักครู่จะโทรหาพงศกรเพื่อจองคิว ให้เขาตรวจให้เธอหน่อย
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว น้ำในอ่างเย็นแล้ว วารุณีลุกขึ้นมาหยิบผ้าเช็ดตัวบนชั้นวางช้างๆ มาห่อไว้และเดินเข้าไปห้องนอน
ในห้องนอนไม่มีคนอยู่แล้ว นัทธีไปแล้ว
หนังตาของวารุณีเลื่อนลง ปิดบังความผิดหวังที่อยู่ในตาและหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง “ไปได้รวดเร็วฉับไวจริงๆ”
เธอให้เขาไปก็จริง แต่เขาก็ไปแล้วจริงๆ
วารุณีเดินไปที่ข้างเตียง จู่ๆ เห็นใบสำคัญการหย่าที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กองอยู่บนพื้นและเม้มปากไว้
สงสัยเธอยังต้องไปพิมพ์ออกมาอีกหนึ่งชุดแล้ว ไม่สิ คือพิมพ์มาหลายๆ ชุด
วารุณีถอนหายใจออกคำหนึ่ง นั่งย่อเข่าลงไปเก็บชิ้นส่วนบนพื้นขึ้นมา
ทันใดนั้น มีคนเคาะประตู “คุณหญิง ออกมาทันข้าวได้แล้ว”
“เดี๋ยวไป” วารุณีตอบกลับคำหนึ่ง จากนั้นไปห้องแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว เธมาถึงห้องอาหารชั้นล่าง เห็นกับข้าวที่หลากหลายบนโต๊ะอาหารกล่าวอย่างตะลึง: “ป้าส้ม เยอะขนาดนี้ฉันจะกินหมดได้ยังไง”
ป้าส้มยิ้ม “ในนี้มีส่วนหนึ่งเป็นของคุณชายและคุณนวิยา ฉันยังนึกว่าคุณชายพวกเขาจะอยู่ทานข้าวต่อ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายยังคงไปแล้ว”
วารุณีขมวดคิ้ว
แบบนี้ก็หมายความว่านวิยาไปกับเขาด้วยกันเหรอ
ฮ่า ยังมาพูดว่าไม่ได้มีอะไรกับนวิยา นี่มันเหมือนเงากับตัวไม่แยกจากกันเลยสินะ
“คุณหญิงเป็นอะไรเหรอ” เห็นสีหน้าของวารุณีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ป้าส้มถามอย่างเป็นห่วง
วารุณีส่ายหัว “ฉันไม่เป็นอะไร”
เธอยิ้มและถือตะเกียบขึ้นมาเตรียมจะกินข้าว
ทันใดนั้นเธอเห็นหมูสามชั้นซอสน้ำแดง รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนขึ้นมาทันที
วารุณีรีบวางตะเกียบลง ก้มตัวลงและปิดปากออกอาการคลื่นไส้ขึ้นมา
อาการคลื่นไส้ของเธอหนักมากจนสีหน้าซีดขาวลง
ป้าส้มตกใจไม่น้อย “คุณหญิงเป็นอะไรเหรอ”
“ป้าส้ม เอาหมูสามชั้นซอสน้ำแดงออกไป เอาอาหารที่มีเนิ้อออกไปทั้งหมดเลย” วารุณีโบกมือและพูดด้วยเสียงอ่อนแอ
“ออๆ” ป้าส้มรีบทำตามคำบอกยกอาหารที่มีเนิ้อออกไป
ไม่นาน กลิ่นเนื้อหอมจางหายไป ในที่สุดความรู้สึกอยากอาเจียนของวารุณีก็บรรเทาลงไปเยอะเลยทีเดียว
เธอรับน้ำที่ป้าส้มให้มาและดื่มเข้าไปหลายคำ ทั้งคนจึงฟื้นคืนชีพโดยสมบูรณ์
“คุณหญิง คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม” ป้าส้มถามและรับแก้วน้ำไป
วารุณีส่ายหัว “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ตกลงเมื่อกี้คุณเป็นอะไรเหรอ คือป่วยเหรอ” ป้าส้มมองดูเธอ
วารุณีจับหน้าท้องและยิ้ม “ไม่ใช่”
“แล้วนั่นคือ…” ป้าส้มดูท่าทางของเธอเหมือนรับรู้ได้อะไรบางอย่าง แสดงความดีใจออกมาเต็มหน้า แม้แต่เสียงยังดังขึ้นมาแล้ว “คุณหญิง คุณ…คุณท้องเหรอ”
วารุณีพยักหน้า “ใช่ ประมาณเดือนครึ่งกว่า”
“ไปตรวจมาแล้วเหรอ” ป้าส้มยืนยันหนึ่งครั้ง
ถึงอย่างไรคราวก่อนเคยมีเหตุการณ์ท้องปลอมมาแล้ว
ครั้งนี้เธอก็ต้องยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แล้ว
วารุณีพยักหน้าแรงๆ “ยืนยันมาแล้ว เป็นเรื่องจริง”
“ดีมากเลย” ป้าส้มจรุงใจจนน้ำตาไหล “คุณหญิง นี่มันดีมากเลยจริงๆ”
วารุณียิ้มแต่ไม่ได้ตอบกลับ
ป้าส้มรีบควักมือถือออกมา
วารุณีใจเต้นขึ้นมา “ป้าส้มจะทำอะไรเหรอ”
“ฉันจะบอกให้คุณชาย บอกข่าวดีนี้ให้คุณชายรู้ ถ้าคุณชายรู้แล้วต้องดีใจมากแน่นอน” ป้าส้มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
วารุณีทำหน้ามืดมน “ป้าส้มแน่ใจเหรอว่านัทธีจะดีใจจริงๆ”
“…คุณหญิง นี่คุณหมายความว่ายังไงเหรอ” ป้าส้มรู้สึกงงงันเล็กน้อย
วารุณีกัดริมฝีปากล่าง “ตอนนี้นัทธีทั้งใจคิดแต่ว่าฉันเป็นลูกสาวของศัตรู ฉะนั้นจึงเมินเฉยกับฉันเช่นนั้น ตอนนี้ถ้าเขารู้เรื่องเด็กในท้องของฉันแล้ว คุณคิดว่าเขาจะเก็บเขาไว้อยู่หรือไม่ แม้กระทั่งตอนนี้เขายังคิดว่าการที่แต่งงานกับฉันเป็นความผิดพลาด งั้นลูกในท้องคนนี้ก็ต้องเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งเช่นกันอยู้แล้ว”
“นี่มัน…” ป้าส้มสงบลงมาได้แล้ว “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง”
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเป็นลูกสาวของศัตรู เขาอาจจะไม่เก็บเด็กคนนี้ไว้ก็เป็นไปได้ ถึงจะเก็บไว้ แล้วเขาจะรักเขาไหม” วารุณีมองป้าส้มและถามเธอกลับในเวลาเดียวกัน
ป้าส้มอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก สักพักถึงพูดอย่างทำตัวไม่ถูกว่า: “แล้ว…ตอนนี้ควรทำยังไงเหรอ เมื่อไหร่ถึงสามารถบอกคุณชายได้ จะให้ปิดบังเขาไปตลอดก็คงไม่ได้มั้ง”
“แน่นอนว่าไม่ รอวันหลังค่อยบอกเหอะ…” วารุณีพูดโดยตามองลงไปด้านล่าง
วันพรุ่งนี้ เธอก็จะลองดูหลักฐานอันที่เขาพูดถึงนั้น
หลังจากดูเสร็จแล้ว เธอก็พอตัดสินใจได้ว่าจะไว้เด็กคนนี้อยู่ต่อหรือไม่ และความอยู่รอดของการสมรสกับเขาในครั้งนี้
แต่นักสืบฝั่งนั้นก็สามารถเร่งหน่อยได้เช่นกัน
“งั้นก็ได้ แต่ฉันก็ยังอยากให้คุณหญิงรีบบอกให้คุณชายรู้เร็วที่สุด” ป้าส้มกล่าว
วารุณีตอบอืมคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว
ป้าส้มกลับไปห้องครัว เตรียมทำอาหารที่เหมาะให้หญิงมีครรภ์ทานใหม่
หลังจากทานข้าวเสร็จ วารุณีพักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นสักพัก จากนั้นก็ออกเดินทางไปบริษัทแล้ว
ถึงเวลาเลิกงานช่วงบ่าย เธอก็ได้ขับรถไปสำนักงานนักสืบตรงนั้นรอบหนึ่งเพื่อถามผลสืบสวน
นักสืบที่เธอมอบหมายงานบอกเธอว่า “คุณวารุณี สำหรับเรื่องเมื่อสิบแปดที่แล้วนั่น พวกเราสืบได้อะไรบางอย่างแล้ว”
“จริงเหรอ แล้วแม่ฉัน…”
รู้ว่าวารุณีอยากถามอะไร นักสืบตอบว่า: “พวกเราสืบการบันทึกที่คุณแม่ของคุณชนคนอื่นไม่เจอ”
วารุณีดีใจสุดๆ “ดีมากเลย ฉันบอกแล้ว แม่ฉันไม่มีทางชนคนหรอก”
แต่สีหน้าของนักสืบกลับดูแปลกๆ
วารุณีเห็นแล้ว ความดีใจอันหลังจากได้ผ่านความเร็วร้ายไปบนหน้าแข็งตัว ในใจเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา “อะไรเหรอ”
“คุณวารุณี พวกเราสืบไม่ได้ว่าคุณแม่ของคุณชนคนก็จริง แต่พวกเราสืบได้ว่าคุณแม่ของคุณอยู่ในจุดเกิดเหตุอุบัติเหตุรถชนของคุณขงเบ้งกับภรรยาเมื่อสิบแปดปีที่แล้วจริงๆ”
รูม่านตาของวารุณีหดเข้า ริมฝีปากสั่น “แค่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ได้หมายความว่าชนคนหรอกมั้ง”
“ใช่ แต่ตอนนั้นคุณแม่ของคุณก็ได้ถูกผู้เห็นเหตุการณ์ชี้ว่าได้ชนคนจริง และก็ถูกตำรวจพากลับไปสอบสวนแล้วด้วย แค่หลังจากนั้นคุณท่านบรรพตออกมาประกันตัวให้คุณแม่ของคุณออกมา ดังนั้นในประวัติของคุณแม่คุณจึงไม่มีบันทึกว่าชนคน” นักสืบกล่าว
วารุณีทั้งตัวเย็นเยือก
ไม่มีการบันทึกชนคน เพราะการประกันตัวของท่านบรรพต
และนั่นก็หมายความว่ายังไม่รู้ว่าตกลงได้ชนหรือไม่ได้ชนคนใช่หรือเปล่า
ทันใดนั้น วารุณีเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถามอีกว่า “แล้วพวกคุณสืบได้ไหมว่าตอนนั้นแม่ฉันขับรถอะไร ถ้าผู้เห็นเหตุการณ์คนนั้นบอกว่าแม่ฉันได้ชนคน งั้นตอนนั้นแม่ฉันก็ต้องขับรถแน่นอนใช่ไหม”
“ใช่ ตอนนั้นคุณแม่ของคุณขับรถสีแดง” นักสืบกล่าว
ครืน!
ทันใดนั้นในหัววารุณีราวกับถูกฟ้าผ่า ทั้งคนงุ่มง่ามนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ดิ้นเลย
สีแดง…
ถูกต้องตามสิ่งที่นัทธีพูด
น้ำตาของวารุณีจู่ๆ ก็ไหลออกมา “แม่ฉันไม่ชอบสีแดงมากเลย ทำไมถึงขับรถสีแดงได้ล่ะ”
นักสืบเห็นสภาพนี้ของเธอรู้สึกสงสารเหมือนกัน แต่ก็ยังตอบกลับว่า: “คุณวารุณีทำไมถึงคิดว่าคุณแม่ของคุณไม่ชอบสีแดง เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว สีที่คุณแม่ของคุณชอบที่สุดก็คือสีแดง คือหลังๆ มาถึงไม่ชอบสีแดง พวกเรารู้มาจากการสืบสวน และก็สืบไม่ยากด้วย”
วารุณีถูกนักสืบถามจนงงแล้ว
ใช่สิ ทำไมเธอถึงคิดว่าแม่เกลียดสีแดง
ในความทรงจำของเธอนั้นแม่ก็ไม่เคยบอกว่าไม่ชอบสีแดงหรืออะไรอย่างนี้เลย แต่เธอก็คือคิดว่าแม่ไม่ชอบ ตกลงนี่คือเพราะอะไร
อยู่ๆ วารุณีกลับรู้สึกมีตรงไหนแปลกๆ ทำให้เธอมีความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างหนึ่งขึ้นมา
แต่เธอกลับพูดไม่ออกว่าตรงไหนผิดปกติ จิตใจรู้สึกหนักหน่วงมาก
“ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่สำนักงานของเราสืบได้ในตอนนี้ เนื่องจากเวลายาวนาน อย่างอื่นยังสืบได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ถ้าคุณวารุณีอยากรู้มากกว่านี้ สามารถไปถามคุณพ่อของคุณได้ เขาน่าจะรู้อะไรหลายๆ อย่าง” นักสืบแนะนำ
วารุณีกำมือไว้อย่างแน่น
เธอไม่ใช่ไม่รู้ว่าสุภัทรก็อาจจะรู้เรื่องในตอนนั้น
แต่เธอไม่อยากเจอเขา ดังนั้นจึงไม่ได้คิดที่จะไปถามเขา
แต่ตอนนี้…
วารุณีหายใจเข้าคำหนึ่งและลุกขึ้น “ฉันรู้แล้ว ขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดี”
นักสืบส่งวารุณีไปข้างนอก
วารุณียืนอยู่ด้านล่าง เงยหน้าขึ้นไปมองดูท้องฟ้า
อันที่จริงท้องฟ้าสดใส แต่เธอกลับรู้สึกหนาวมาก ไม่เพียงแค่ร่างกายอย่างเดียว และยังมีหัวใจอีกด้วย
แม่ สิบแปดปีที่แล้ว ท่านชนคนจริงเหรอ