พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 424 สืบเรื่องนวิยา
นัทธีปาดคราบน้ำใสที่มุมปากออก ไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไม”
นานแล้วที่เขาไม่ได้แตะต้องตัวเธอ
มองดูท่าทางน้อยใจของชายหนุ่ม วารุณีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ
จากนั้นเธอก็ดึงมือของเขามา ในแววตาที่สงสัยของเขา เธอได้ดึงมือของเขามาแนบที่หน้าท้องของเธอ
นัทธีมึนงง “คืออะไร”
วารุณียิ้มแล้วมองเขา “นี่ต่างหากที่ฉันต้องการจะมอบเป็นของขวัญให้กับคุณในคืนนี้ ฉันท้องแล้ว”
อากาศเงียบลงในทันใด
รูม่านตาของนัทธีสั่น มองมือของตัวแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
หน้าท้องที่อยู่ภายใต้มือของเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีเด็กหนึ่งคน
ลูกของเขา
“ผม……ผมจะได้เป็นพ่อคนแล้วเหรอ” สักพัก ลูกกระเดือกของนัทธีขยับขึ้น ในที่สุดก็เปล่งเสียงออกมา อีกทั้งน้ำเสียงยังค่อนข้างสั่นเครือ
วารุณีพยักหน้า “ใช่ คุณจะได้เป็นคนแล้ว ครั้งนี้เป็นลูกที่เกิดจากคุณจริง ๆ”
ริมฝีปากของนัทธีขยับเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดึงวารุณีมากอดไว้ในอกอย่างเงียบ ๆ
วารุณีซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบ ๆ “ทำไม คุณไม่ดีใจเหรอ”
“เปล่า ผมดีใจมาก ขอบคุณนะ นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผม” นัทธีก้มหน้าไปดมกลิ่นหอมบนตัวของเธอ
วารุณียิ้มเบาๆ “จริงเหรอ ฉันนึกว่าคุณไม่ดีใจเสียอีกแหนะ”
“ไม่หรอก” นัทธีส่ายหน้า “ขอบคุณนะ ใช่แล้ว ลูกได้กี่เดือนแล้ว”
เขาก้มหน้ามองหน้าท้องของเธอแล้วถามขึ้น
วารุณีตอบกลับอย่างอ่อนโยน :“หนึ่งเดือนกว่าแล้ว”
ตอนนี้นัทธีก็ได้เข้าใจ เห็นทีเขาได้ฟื้นตัวเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว
“ใช่แล้ว” วารุณีเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างจริงจัง “สายโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ฉันได้ยินคุณหมอพิชิตบอกให้คุณทานยา ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนบนหัวเตียงของคุณจะมียาจำนวนหนึ่งวางไว้ ยาเหล่านั้นใช้รักษาอะไรเหรอ หากว่าตอนนั้นส่งผลกระทบต่อเด็ก……”
นัทธีเข้าใจในความหมายของเธอ สีหน้าก็จริงจังเช่นกัน “นั้นเป็นยารักษาภาวะมีบุตรยาก ผมไม่รู้ว่ามีผลกระทบต่อลูกหรือไม่”
“มีบุตรยาก? ทำไมคุณต้องทานยานี้” วารุณีตกใจ
นัทธีกล่าวเบา ๆ ราวกับเขินอายเล็กน้อย
แต่วินาทีถัดมา ใบหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้น แววตามีร่องรอยของความเคียดแค้น “เพราะขงเบ้ง เขารู้ตัวว่าไม่สามารถแย่งบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปจากผมไปได้ จึงไม่อยากให้ผมมีทายาทไว้สืบสกุล เช่นนี้ต่อไปบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปยังคงตกไปอยู่ในมือของบ้านใหญ่”
“ซี๊ด……” วารุณีสูดอากาศเย็นๆเข้าไปหนึ่งฟอด “เขาเป็นลุงแท้ ๆ ของคุณนะ ทำไมถึงทำได้ลง ทำกับพ่อแม่ของคุณก่อน จากนั้นก็วางยาอย่างไร้ความเมตตากับหลานอย่างคุณอีก”
เวลานี้ วารุณีรู้สึกสงสารผู้ชายคนนี้มาก
เขาสามารถมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ภายใต้เงื้อมมือของขงเบ้ง มันไม่ง่ายเลย
“ก็ไม่มีอะไร ตอนนี้ผมดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าลูกคนนี้……” นัทธีกำหมัดแน่น “ผมจะไปถามพิชิตว่าจะมีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่ อย่าไปถามคุณหมอพิชิต พวกเราไปโรงพยาบาลอื่นกัน” วารุณีดึงแขนของเขาไว้
นัทธีขมวดคิ้ว “ทำไม”
อย่าบอกเขา เธออยากจะไปโรงพยาบาลพงศกรประจำอยู่
วารุณีไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ จงเม้มปากแล้วกล่าวขึ้น “คุณหมอพิชิตเป็นแฟนของคุณนวิยา ถ้าหากว่าให้คุณหมอพิชิตรู้ว่าฉันตั้งท้อง คุณนวิยาก็จะต้องรู้ด้วย คุณก็เข้าใจฉันดี ฉันไม่ชอบนวิยา ฉันคิดว่าเธอจะต้องทำร้ายฉัน”
นัทธีริมฝีปากบางขยับ
เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง วารุณียกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่งมาปิดริมฝีปากของเขาไว้ “ฉันรู้ว่าคุณจะบอกว่าฉันคิดมาก แต่ถ้าคุณได้ฟังสิ่งนี้แล้ว คุณก็จะเข้าใจเอง”
พลางพูด เธอพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วเปิดคลิปเสียงของเธอที่สนทนากับทารีนาตอนที่อยู่ในเรือนจำเมื่อตอนบ่าย
นัทธีฟังจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เห็นชัดเจนว่าตกใจมาก
สักพัก เขาถึงเอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “คุณคิดว่าก่อนหน้านี้ที่คุณถูกลอบฆ่าสองครั้ง เป็นฝีมือของนวิยา นายท่านบุญชัยสืบเจอแล้วแต่กลับปกป้องนวิยา แล้วให้ทารีนารับความโทษแทน
“ถูกต้อง แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่นวิยาทำไม่เพียงมีเท่านี้ พาตัวอารัณไป จนทำให้อารัณเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ รวมไปถึงอุบัติเหตุรถยนต์ของพงศกร และโกดังของฉันที่ถูกเผา วัสดุผ้าถูกสับเปลี่ยน ล้วนเป็นฝีมือของนวิยา” วารุณีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตอบกลับด้วยสีไร้ความรู้สึก
นัทธีเงียบ ในใจเกิดความปั่นป่วน
วารุณีจ้องมองเขา “ฉันรู้ จู่ ๆ คุณได้ยินเรื่องแบบนี้ จะต้องสงสัยว่าจริงหรือเท็จอย่างแน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ข้างต้นที่ฉันได้กล่าวมาว่าเป็นฝีมือของนวิยาหรือไม่ มาพูดเรื่องการทารุณกรรมแมวจากปากของทารีนาก่อน ฉันคิดว่าน่าจะสืบได้ คุณจะสืบสักหน่อยไหม เมื่อผลการสืบออกมาแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่านวิยาสามารถทำออกมาได้จริง ๆ”
“ได้” นัทธีหลับตาลงแล้วรับปาก
บอกตามตรง คลิปเสียงบันทึกที่เธอได้ให้เขาฟัง ทำให้เขาตกใจช็อกเป็นอย่างมาก
เขารู้ว่านวิยาไม่ได้จิตใจดีไร้เดียงสาเหมือนอย่างแต่ก่อน มีความเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะร้ายได้ขนาดนี้
แต่เพื่อไม่เป็นการใส่ร้ายนวิยา เขาควรจะสืบสักหน่อยจริง ๆ สืบน้องสาวบุญธรรมคนนี้ของเขาที่ไม่เคยสืบมาก่อน
เวลานี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
วารุณีเอียงศีรษะผ่านร่างชายหนุ่มมองไปยังที่ประตู “น่าจะเป็นป้าส้มมาเรียกพวกเราไปทานข้าว ไปกันเถอะ”
นัทธีตอบรับอืม แล้วระงับความปั่นป่วนในใจไว้ จากนั้นจูงมือของเธอเดินไปทางประตู
เมื่อเปิดประตู ป้าส้มเห็นทั้งคู่ที่จูงมือกันและกัน จึงเอามือปิดปากแล้วแอบยิ้ม “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง พวกท่านดีกันแล้วเหรอคะ” วารุณียิ้มแล้วพยักหน้า
ป้าส้มดีใจจนยิ้มตาหยี “เช่นนี้ถูกต้องแล้วค่ะ เร็วเถอะค่ะ ลงไปทานข้าวด้วย ทานข้าวเสร็จแล้วก็เป่าเค้ก เด็ก ๆ ทั้งสองคนต่างร้องอยากทานเค้นกันแล้ว”
“ไปกันเถอะ อย่าให้เด็ก ๆ ต้องรอนาน” นัทธีพูดจบก็จูงมือของวารุณีลงจากตึกไป
ป้าส้มได้ทำอาหารเย็นวางเต็มเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
เด็กน้อยสองคนทานอย่างเอร็ดอร่อย จนท้องกลมไปหมด
จากนั้นวารุณีได้หยิบเค้กมา แล้วจุดเทียนวันเกิด จากนั้นให้ป้าส้มปิดไฟ
ในห้องอาหารจึงได้มืดลง เหลือเพียงเทียนวันเกิดเท่านั้นที่ส่องสว่างให้เห็นใบหน้าของทุกคน
ภายใต้การเร่งเร้าของวารุณีกับเด็ก ๆ ทั้งสองคน นัทธีได้ขอพรไว้สองประการ จากนั้นป้าส้มก็ตัดเค้กให้เด็ก ๆ เค้กที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอมากที่สุด
“ที่รัก คุณขอพรอะไรเหรอ” วารุณีมองเด็ก ๆ ทั้งสองคนที่โน้มตัวไปดูป้าส้มตัดเค้ก แล้วเปล่งเสียงถามนัทธี
นัทธีก็หันได้ไปมองทางนั้นด้วยความเอ็นดู “ความลับ”
วารุณีเม้มปาก “เชอะ ไม่รู้ก็ได้”
นัทธียกริมฝีปากขึ้น “อีกหน่อยคุณก็จะรู้เอง”
“ก็ได้ อย่างนั้นฉันก็จะรอ” วารุณียิ้มขึ้น
นัทธีรับเค้กที่ป้าส้มยื่นมาให้ แล้ววางไว้ที่ด้านหน้าของเธอ “พรุ่งนี้ก็จะไปเมืองนอกแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ ไฟล์ทบินตอนบ่าย เพราะฉะนั้นเด็ก ๆ คงต้องลำบากคุณดูแลแล้วนะ” แววตาวารุณีหม่นลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะจากไป
เธอไม่อยากจะจากเด็ก ๆ สองคนนี้ไปจริง ๆ
แต่เพื่อความฝันกับหน้าที่การงาน เธอจึงไม่ไปไม่ได้
“วางใจนะ รอวันหยุดสุดสัปดาห์ผมจะพาพวกเขาไปเยี่ยมคุณที่เมืองนอก” นัทธีบีบจับที่มือของเธอ
วารุณียิ้มขึ้นอีกครั้ง “ไม่ต้องหรอก มาทุก ๆ สัปดาห์คงเหนื่อยแย่ มาเดือนละครั้งก็พอ มีเวลาได้พบกันสามครั้งแหนะ แต่ว่า……”
“อะไร” นัทธีจ้องมองเธอ
ใบหน้าเล็ก ๆ ของวารุณีเคร่งขรึมขึ้น “ฉันอยากให้คุณบอกกับคุณหมอพิชิตว่าให้เขารีบซ่อมห้องให้เสร็จ แล้วให้คุณนวิยาย้ายเข้าไปอยู่เร็ว ๆ ฉันไม่วางใจที่จะปล่อยให้เด็ก ๆ สองคนอยู่ด้วยกันกับคุณนวิยา”
“ได้” นัทธีพยักหน้ารับ
วารุณีโน้มตัวไปหอมที่ใบหน้าของเขาหนึ่งฟอด “ขอบคุณค่ะที่รัก”