พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 43 ลูกหายไป
พอคิดแบบนี้ วารุณีก็หรี่ตา ไปหาผู้จัดการธีภพอีกครั้ง แล้วพูดตรงๆว่า“ไม่ต้องตามผ้ากลับมาแล้ว”
ผู้จัดการธีภพตะลึง“คุณวารุณี นี่คุณหมายความว่าอะไร?”
“ความหมายคือฉันไม่เอาแล้ว!”วารุณีตอบไปเบาๆ
“ไม่เอาแล้ว?”ผู้จัดการธีภพตะลึงงัน แล้วตื่นตระหนกทันที“คุณวารุณี ผมให้คนไปตามแล้ว ทำไมคุณไม่เอาล่ะ?”
“คุณถามฉันทำไม?”วารุณียิ้มอย่างยั่วยุ“ผ้าพวกนี้เป็นผ้าที่งานแสดงเดือนหน้าบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปต้องใช้ และพวกคุณไม่ได้ขอความยินยอมจากบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ก็เอาผ้าไปให้เจ้าอื่น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นหัวของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเลย”
“ไม่ใช่แบบนี้ พวกเราก็ฟังคำสั่งของคุณหนูใหญ่ ดังนั้น……”
“พอแล้ว!”วารุณียกมือขึ้น ตัดบทเขาอย่างทนไม่ไหว“ผู้จัดการธีภพ คุณไม่ต้องอธิบายพวกนี้ ฉันรู้การกระทำของพวกคุณ ว่ากำลังดูถูกบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป”
พูดจบ วารุณีก็ถือกระเป๋าตัวเอง หันกลับออกไป
เธอทำแบบนี้ นอกจากปกป้องศักดิ์ศรีของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว ยังเป็นการสั่งสอนหลานสาวแทนนายท่านวัชระด้วย
จากนิสัยของนัทธีแล้ว ถ้ารู้เรื่องนี้ จะต้องยกเลิกความร่วมมือกับตระกูลแววสูงเนินแน่ และเมธาวีที่ทำให้ความร่วมมือของไชยรัตน์กับแววสูงเนินทั้งสองตระกูลต้องล้มเหลวนั้น จะต้องหนีบทเรียนไม่พ้นแน่
แต่หวังว่าบทเรียนนี้จะทำให้เมธาวีจำให้ได้ขึ้นใจ ต่อไปอย่ามาหาเรื่องเธออีก ถึงเธอไม้กลัว แต่รำคาญมาก
กลับไปที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ก็สองโมงแล้ว
วารุณียังไม่วางกระเป๋า ก็ไปที่ห้องทำงานท่านประธานสูงสุด เอาทุกอย่างในวันนี้ บอกกับนัทธีตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ว่าปิดในส่วนของพิชญา เพราะว่าเธอไม่มีหลักฐาน พิสูจน์ว่าพิชญายุยงเมธาวีให้ทำ
“ผมเข้าใจแล้ว”นัทธีฟังจบ ริมฝีปากบางๆก็มีความเย็นชาขึ้นมา“คุณทำได้ดีมาก”
คิดไม่ถึงจริงว่า นายท่านวัชระที่ฉลาดมาตลอด จะเลี้ยงหลานสาวที่โง่ออกมาแบบนี้
น่าขันจริงๆ!
“งั้นประธานนัทธี พวกเราต้องเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์ผ้ารายอื่นไหมคะ?”วารุณีมองชายหนุ่มที่แพร่ความเยือกเย็นออกมาทั้งตัว แล้วสอบถามเบาๆ
นัทธีเงยคางขึ้น“แน่นอนสิ แผนกจัดซื้อมีช่องทางติดต่อ โรงงานผ้าที่อื่นอยู่ คุณไปทำความเข้าใจดูได้”
“รับทราบค่ะ งั้นฉันออกไปก่อนนะคะ”วารุณีพยักหน้า
พอเธอไป นัทธีจึงเรียกมารุตเข้ามา กำชับด้วยเสียงเย็นชา“แจ้งไปว่า ตั้งแต่นี้ไป ตัดความร่วมมือทุกอย่างกับ ตระกูลแววสูงเนิน!”
“ครับ!”ถึงแม้มารุตจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม ทำตามคำสั่งไป
แป๊บเดียว บริษัทเครื่องแต่งกายกับโรงงานผ้าของตระกูลแววสูงเนิน ก็ได้รับการแจ้งเตือนยกเลิกสัญญาของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
เวลานั้น ตลาดหุ้นของตระกูลแววสูงเนินก็ซบเซาลง
นายท่านวัชระรีบติดต่อนัทธีทันที อยากถามสาเหตุในการยุติความร่วมมือให้ชัดเจน
นัทธีแค่ตอบไปว่า‘ถามหลานสาวคุณสิครับ’แล้วก็วางสายทิ้ง
เวลานี้ นายท่านวัชระจะไม่เข้าใจว่าเป็นหลานสาวของตัวเองไปแตะต้องนัทธีได้อย่างไรกัน จึงรีบให้พ่อบ้านไปสืบว่าวันนี้เมธาวีทำอะไร
พ่อบ้านก็เจ๋งมาก ไม่นานนัก ก็สืบได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับโรงงานผ้า
นายท่านวัชระโกรธจัดด้วยความเสียใจ ให้คนขังเมธาวีไว้ จากนั้นโทรหาวารุณี
วารุณีมองเห็นสายที่โทรมา ก็ไม่แปลกใจสักนิด
ตอนที่เธอตัดสินใจไม่เอาผ้าของตระกูลแววสูงเนิน เธอก็คิดไว้แล้วว่า นายท่านวัชระจะต้องโทรหาเธอ
“คุณปู่วัชระ”วารุณีเอาโทรศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนมาแนบไว้ที่ข้างหู แล้วพูดออกไปอย่างสนิทสนม
เสียงรู้สึกผิดของนายท่านวัชระก็เข้ามา“ยัยสาวน้อย เรื่องที่โรงงาน ผมรู้แล้วนะ ขอโทษจริงๆ หลานสาวผมคนนี้ถูกตามใจจนเสียนิสัย”
วารุณีมองต่ำลงไป“ฉันคิดซะอีกว่าคุณปู่วัชระจะมาตำหนิฉันค่ะ”
นายท่านวัชระหัวเราะเหอะเหอะ“โทษอะไรคุณล่ะ?ถึงผมจะอายุมากแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าแยกถูกผิดไม่ออก ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่ต้องการผ้าพวกนั้น ดังนั้นคุณไม่ได้ทำผิด นัทธีก็ไม่ผิด ที่ผิดคือหลานสาวผมเอง”
“งั้นเรื่องความร่วมมือ……”
“ถึงแม้ความร่วมมือจะยกเลิกไป ก็ช่างมันเถอะ ถือซะว่าให้บทเรียนกับเมธาวี และก็ถึงเวลาที่ให้เธอรู้ว่า ถ้าเธอไม่ระวังทุกคำพูดและการกระทำ ก็เป็นไปได้ที่จะนำความพินาศมาให้ตระกูล”นายท่านวัชระถอนหายใจ
วารุณีฟังความรักที่มีต่อหลานสาวในน้ำเสียงของเขาออก ในใจก็รู้สึกหดหู่มาก
มีคุณปู่ที่ใส่ใจลูกหลานขนาดนี้ ไม่น่าล่ะเมธาวีถึงได้ถูกเลี้ยงมาอย่างร้ายกาจหยิ่งผยองและยังอ่อนหัดอีกด้วย
โทรเสร็จ วารุณีเพิ่งเก็บโทรศัพท์เสร็จ หัวหน้าของแผนกจัดซื้อถือเอกสารฉบับหนึ่งเดินเข้ามา“คุณวารุณี นี่คือข้อมูลของโรงงานผ้าอื่นๆไม่กี่แห่งในจังหวัดจันทร์ ผมรวบรวมเรียบร้อยแล้ว คุณลองดู”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”วารุณียิ้มแล้วรับเอกสารมาเปิดดู
ดูเสร็จ เธอก็เลือกสามแห่งในนั้น วางแผนว่าจะไปดูหน่อย แล้วรีบจองผ้ามา
ยังไงรูปออกแบบของเธอก็ทำเสร็จแล้ว ส่วนด้านผ้าก็ช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ทันเวลาการแสดงโชว์
คิดไป วารุณีก็ปิดเอกสารลงแล้วถือไว้ในอ้อมแขน ออกไปจากแผนกจัดซื้อ
พอเธอไปโรงงานผ้าสามแห่งเสร็จ ก็ห้าโมงเย็นแล้ว
วารุณีกำลังเรียกรถอยู่ข้างถนน แต่ไม่มีรถผ่านมาเลยเป็นเวลานาน
ที่จริงเธอคิดว่าจะรีบกลับไปในจังหวัดภายในหนึ่งชั่วโมง ไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาล แต่ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนจะเป็นไปไม่ได้
หมดหนทาง วารุณีได้แต่โทรหาคุณครูที่โรงเรียนอนุบาล ขอร้องให้ครูช่วยส่งลูกทั้งสองคนกลับไป
ในที่สุด สองชั่วโมงถัดมา วารุณีก็กลับมาถึงบ้านพัก
เธอเอาคีย์การ์ดออกมาเปิดประตู เปลี่ยนรองเท้าไป ก็ตะโกนเสียงดังไปที่ห้องว่า“อารัณ ไอริณ หม่ามี๊กลับมาแล้ว”
จากนั้นก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ
วารุณีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
เกิดอะไรขึ้น ลูกล่ะ?
ปกติเธอออกไปซื้อกับข้าวกลับมา ลูกทั้งสองคนก็จะออกมาต้อนรับเธอ ทำไมตอนนี้ไม่ออกมาสักคนล่ะ?
“อารัณ ไอริณ?”วารุณีตะโกนไปอีกรอบ ขณะเดียวกันก็ยกเท้าเดินไปในห้อง
เดินไปถึงด้านนอกประตู เธอก็บิดประตูห้องออก ข้างในห้องมืดมิด ไม่เหมือนว่ามีคนอยู่
วารุณีรีบเปิดไฟ มองทั่วทุกมุมห้อง ก็ไม่เจอใครสักคน
เธอเริ่มตื่นตระหนก ปล่อยลูกบิดประตูทันที รีบเข้าไปดูห้องอื่นๆ ยังคงไม่มีร่องรอยของลูกทั้งสองคน
ลูกสองคนหายไป!
ตระหนักได้ถึงจุดนี้ วารุณีรู้สึกเลือดในตัวเย็นไปหมด ร่างกายสั่น เกือบจะล้มลงไป
แต่เธอสูดลมหายใจลึกๆ บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง หยิบโทรศัพท์มาเตรียมแจ้งความ
แต่ตอนที่เธอกดเบอร์ตำรวจเสร็จ กำลังจะกดลงไป ด้านนอกทางเข้าก็มีเสียงเคลื่อนไหวเข้ามา
วารุณีตั้งใจฟัง ก็ได้ยินว่าเป็นเสียงของลูกทั้งสองคน จึงดีใจอย่างมาก วิ่งออกไปตรงทางเข้าทันที แล้วเปิดประตูออก
อารัณยืนอยู่นอกประตูกับไอริณ มองเห็นวารุณี จึงพูดอย่างดีใจ“หม่ามี๊ หม่ามี๊กลับมาแล้ว”
วารุณีไม่ตอบ มองลูกทั้งสองคนสักพัก จู่ๆก็เข้าไป แล้วเอาลูกทั้งสองคนเข้ามากอดในอ้อมแขนแน่นๆ
“หม่ามี๊ หม่ามี๊เป็นอะไรไป?”อารัณรู้สึกว่าเธอกำลังสั่น กำลังกลัว หลังจากสบตากับไอริณ จึงถามเบาๆ
วารุณีปล่อยลูกทั้งสองออก ตำหนิด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ“เจ้าตัวยุ่งสองคนนี้ รู้ไหมว่าหม่ามี๊กลับมาไม่เจอพวกลูก จะกลัวและเป็นห่วงแค่ไหน?เกือบจะแจ้งตำรวจแล้ว!”
ลูกทั้งสองคนก้มหน้าลงอย่างรู้ตัวว่าผิด“ขอโทษนะหม่ามี๊”
ได้ยินคำขอโทษจากลูกทั้งสองคน วารุณีก็ใจอ่อน ถอนหายใจเบาๆ สงบสติอารมณ์ลง“พูดมา ลูกสองคนไปไหนกันมา?”
ไม่รู้ว่าปัญหาเรื่องไฟหรือไม่ ทำไมเธอรู้สึกว่าหน้าเล็กๆของอารัณขาวกว่าปกติเยอะเลย
“พวกเราอยู่ที่บ้านคุณอานัทธีค่ะ”ไอริณตอบ
อารัณก็พยักหน้าตาม
“คุณอานัทธี?”วารุณีเงยหน้ามอง จึงพบนัทธีที่อยู่ด้านหลังลูกทั้งสองคน