พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 45 บังเอิญเจอขยานี
รูม่านตานัทธีสั่นเล็กน้อย แผ่นหลังของเขาก็แข็งขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมอย่างมากที่สัมผัสแนบชิดเช่นนี้
“ตื่นตื่น”เขายกมือขึ้น ดันวารุณีเบาๆ อยากเรียกเธอขึ้นมา
แต่วารุณีกลับทำเสียงฮึดฮัด หลับต่อไป
ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้ เมื่อกี๊ยังบอกไม่นอน ตอนนี้กลับหลับสนิท!
ช่างเถอะ แบบนี้ละกัน เขาทำลูกของเธอเข้าโรงพยาบาล ให้เธอพิงสักหน่อยถือว่าชดเชยให้
พอคิดแบบนี้ นัทธีก็เอามือวางไว้ที่โทรศัพท์
หน้าจอโทรศัพท์ยังสว่างอยู่ รายงานด้านบนก็ยังโชว์อยู่ เขากลับอ่านไม่เข้าหัว กลิ่นหอมบางๆที่ตัวหญิงสาว ไม่หยุดแตะเข้าจมูก จนอารมณ์ของเขาปั่นป่วน
สุดท้าย เขาขมวดคิ้ว พยายามเพิกเฉยความรู้สึกแปลกๆในใจ ปิดโทรศัพท์
ตอนเช้า ฟ้าสว่างได้ไม่นาน นัทธีก็ตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่จู่ๆก็ดังขึ้น
เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว หยิบโทรศัพท์ออกมามองแวบหนึ่งแล้วกดรับ“คุณรอผมหน้าประตู ผมจะลงไปทันที”
พูดจบ เขาก็วางสายโทรศัพท์ จากนั้นเอาหัวของวารุณียกขึ้นมาจากไหล่ วางลงที่วางแขนบนโซฟา อดทนกับความชาครึ่งตัว ลุกขึ้นออกไปจากห้องคนไข้
เขาออกไปก่อน จากนั้นวารุณีก็ตื่น
เธอมองสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเธอก่อน จากนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ ดวงตาเบิกโตทันที
“อารัณ!”วารุณีไม่สนใจความเจ็บที่คอ รีบยืนขึ้นมาวิ่งไปที่เตียง ลูบหัวของอารัณ เห็นอุณหภูมิของอารัณกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอก็ยิ้มอย่างโล่งอก
“หม่ามี๊……”ตอนนี้ ไอริณก็ขยี้ตานั่งลงบนเตียง
วารุณีเอาสายตาจากตัวอารัณมองไปที่เธอ“ตื่นแล้วเหรอ?”
“อือ”ไอริณพยักหน้าเล็กๆนั่น จากนั้นมองอารัณที่อยู่ข้างๆอย่างเป็นห่วง“หม่ามี๊ ทำไมพี่ยังไม่ตื่น?”
“น่าจะเพราะว่าฤทธิ์ยายังไม่หมด รออีกเดี๋ยวก็ตื่นแล้ว”วารุณีตอบไป ก็จัดกระเป๋าไป เตรียมไปซื้ออาหารเช้า
ตอนนี้เอง ประตูห้องคนไข้เปิดออก นัทธีเข้ามาจากด้านนอก ในมือถือถุงใหญ่ๆด้วย
“คุณอานัทธี”ไอริณโบกมือให้นัทธี เรียกเสียงหวาน
ระหว่างหน้าผากนัทธีคลายลงแล้วก็พยักหน้า ถือว่าเป็นการตอบรับ
“ประธานนัทธี คุณยังไม่ไปเหรอ?”วารุณีหยิบกระเป๋าเงิน มองเขาอย่างตกใจ
ตอนที่เธอตื่น ไม่เห็นเขา คิดว่าเขาออกไปแล้ว
“เปล่า ผมแค่ไปเปลี่ยนชุด”นัทธีเอาถุงในมือยื่นให้วารุณี“นี่อาหารเช้า”
“ดีจัง ฉันกำลังไปซื้อเลย”วารุณีรับอาหารเช้ามาอย่างดีใจ เอาออกมาทีละอย่าง
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ก็เก้าโมงเช้าแล้ว
นัทธีมองไปที่เธอ“สองวันนี้คุณไม่ต้องไปทำงาน ดูแลอารัณดีๆ ส่วนไอริณ ผมจะช่วยรับส่งให้คุณ คุณไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณค่ะประธานนัทธี”วารุณียิ้มอย่างขอบคุณ
จากนั้น นัทธีก็ส่งไอริณไปโรงเรียนอนุบาล
หลังจากพวกเขาไป วารุณีก็เรียกพยาบาลคนหนึ่ง ให้พยาบาลมาช่วยดูอารัณ ส่วนตัวเองไปจ่ายค่ารักษาที่เคาน์เตอร์แผนกเด็ก
มาถึงหน้าเคาน์เตอร์ วารุณีเปิดกระเป๋าออก จู่ๆก็ได้ยินเสียงคุ้นๆที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมา“ปวิช คุณอยู่ไหน?”
เป็นขยานี!
แววตาวารุณีมีประกายแวบขึ้นมา หันหน้าไปยังต้นเสียงที่เข้ามา เห็นแค่ขยานีกำลังจูงเด็กคนหนึ่งอยู่หน้าลิฟต์ โทรคุยโทรศัพท์ด้วยใบหน้าทนไม่ไหว
เด็กคนนั้นคือใคร?
วารุณีขมวดคิ้วอย่างสงสัย มองสำรวจเด็กคนนั้น
เด็กคนนั้นอายุพอๆกับอารัณ หน้าตามีความคล้ายกับขยานี เห็นได้ชัดว่า เป็นลูกชายของขยานี
ก็แค่ ทำไมเธอไม่เคยได้ยินว่า ขยานีมีลูกให้พ่ออีกคนด้วย?
ตอนที่วารุณีกำลังรู้สึกแปลกๆนั้นเอง จู่ๆขยานีก็โบกมืออย่างดีใจไปทางหนึ่ง“ปวิช ทางนี้!”
วารุณีรีบมองไปทางที่เธอโบกมือ มองเห็นผู้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาไม่เลวเดินมาตรงหน้าสองแม่ลูกขยานี อุ้มลูกที่อยู่ในอ้อมแขนขยานีขึ้นไปอย่างธรรมชาติ และยังจูบลงไปที่หน้าของเด็กคนนั้น ส่วนขยานีก็ยิ้มหรี่ตามองดูอยู่ข้างๆ
ภาพนี้ เหมือนกับสามคนพ่อแม่ลูกอย่างมาก
จู่ๆวารุณีก็ตระหนักอะไรได้ อ้าปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ สักพักถึงนิ่งสงบลงได้
จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆเอาโทรศัพท์ออกมา รีบถ่ายรูปภาพไว้ใบหนึ่ง
ขยานีหักหลังพ่อ อยู่กับผู้ชายอีกคน และยังมีลูกอีกหนึ่งคน นี่มัน ……
กำลังคิดอยู่นั้น สายตาวารุณีก็มองเห็นว่าจู่ๆขยานีก็เดินมาทางเธอ ทันใดนั้นในใจก็ตกใจ
แย่แล้ว ถูกเห็นเข้าแล้ว!
วารุณีใจเต้นอย่างรวดเร็ว แล้วรีบใช้ใบเสร็จบังโทรศัพท์ไว้ นิ้วมือกดไปที่หน้าจออย่างรวดเร็ว เอารูปภาพสำรองบันทึกไว้ในแอปอื่น จากนั้นเอารูปภาพเดิมในอัลบั้มลบทิ้ง
เพิ่งลบเสร็จ ขยานีก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว จ้องมองเธออย่างน่ากลัว“เมื่อกี๊เธอเห็นอะไร?”
“เห็นว่าน้ากำลังยืนอยู่กับพ่อลูกคู่หนึ่ง”วารุณีพูดไปตรงๆ
ยังไงถ้าเธอตอบไปว่าไม่เห็นอะไรเลย นั่นน่ะสิถึงมีปัญหา
ได้ยินคำพูดของวารุณี ในสายตาขยานีก็มีความตื่นตระหนก
สมควรตายจริงๆ ถูกนังสารเลวนี้เห็นจริงๆด้วย ในใจของนังสารเลวนี้ต้องกำลังสงสัยอะไรแน่
แต่ยังดี ที่เธอเห็นการอยู่ของนังสารเลวนี้ทันเวลา ไม่งั้นต่อจากนี้นังสารเลวนี่ไปบอกสุภัทรก็จะมีปัญหาอีก ต้องหาทาง ทำลายความสงสัยในใจของนังสารเลว
คิดถึงตรงนี้ ขยานีก็กลอกตาไปมา กำลังจะพูดอะไร ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบมองโทรศัพท์ในมือวารุณี แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เสียงก็ชัดเจนขึ้นมา“เธอถ่ายภาพอะไรไปใช่ไหม?”
“เปล่านี่ ฉันจะถ่ายรูปน้าไปทำไมกัน?”วารุณีตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ขยานีจะเชื่อคำพูดของเธอง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร คว้าโทรศัพท์ของเธอมา
สีหน้าวารุณีดูนิ่งไป ไม่กล้าแย่งกับเธอ
พอค้นหา หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เจอรูป สีหน้าของขยานีก็ดีขึ้นเยอะทันที“ขอโทษนะ วารุณี คุณน้าขยานีเข้าใจเธอผิดเอง”
“ฉันถูกคุณน้าขยานีเข้าใจผิดยังน้อยไปอีกเหรอ?”วารุณีหัวเราะอย่างยั่วยุ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา“เป็นคุณน้าขยานีต่างหากที่ตื่นตระหนกทำไม กลัวว่าฉันจะเข้าใจความสัมพันธ์ของน้ากับพ่อลูกนั่นผิดเหรอคะ?”
หัวใจขยานีหยุดเต้นแป๊บหนึ่ง ใบหน้ากลับพยายามตอบไปอย่างนิ่งๆ“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน แต่พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับน้าจริงๆ เป็นน้องชายฝ่ายแม่กับหลานชายที่อยู่ไกลกัน แล้วก็ หลานชายของน้าน่ะป่วย น้าเลยพาพวกเขามาหาหมอ”
“ที่แท้ก็แบบนี้เอง”วารุณีพยักหน้า เหมือนจะเชื่อ
ขยานีหรี่ตาจ้องเธอสักพัก หลังจากแน่ใจว่าเธอไม่ได้เสแสร้ง ก็รีบถอนหายใจทันที จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อทันที“ใช่สิวารุณี น้าได้ยินพิชญาบอกตั้งนานแล้วว่าเธอกลับประเทศมาแล้ว แล้วยังพาลูกอีกสองคนมาด้วย เมื่อไหร่จะพาลูกกลับมา ให้น้ากับพ่อเธอได้ดูบ้าง น้าอยากเห็นลูกสองคนนั้นของเธอมากๆเลยนะ”
“ไม่จำเป็นค่ะ!”วารุณีปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
หลังจากคืนนั้นในห้าปีก่อน เธอก็สาบานว่า ชีวิตนี้เธอจะไม่ไปเหนียบเข้าตระกูลศรีสุขคําอีก
การปฏิเสธของวารุณีอยู่ในความคาดหมายของขยานีไว้แล้ว ดังนั้นขยานีจึงไม่หงุดหงิด มองใบเสร็จในมือวารุณี “ลูกเธอป่วยเหรอ?”
วารุณีกลอกตาใส่ ขี้เกียจตอบ
นี่ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วแต่ทำเป็นหลอกถามเหรอ!
คงไม่ใช่เธอหรอกมั้งที่ไปแผนกกุมารเวชน่ะ?
“น้าดูสิว่าเป็นอะไร!”ขยานีถือโอกาสที่วารุณีไม่สนใจ แล้วหยิบใบเสร็จไป
มองข้อมูลด้านบน ขยานีจึงพูดอย่างดูถูกเย็นชา“โหย วารุณี ลูกของเธอนามสกุลศรีสุขคําเหมือนเธอเลยนะ ไม่นามสกุลตามพ่อพวกเขาเหรอ?หรือว่าเด็กสองคนนี้ไม่มีพ่อ เป็นลูกนอกสมรสที่เธอท้องก่อนแต่ง?”
ได้ยิน วารุณีก็โกรธจนตัวสั่น กำฝ่ามือไว้แน่นกำลังจะพูด แล้วเสียงเย็นชาเหมือนแทงเข้าไปในกระดูกก็ดังขึ้นมา“คุณว่าใครเป็นลูกนอกสมรส!”