พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 471 อาชญากรคือสองคนอาจารย์และลูกศิษย์โสรยา
“ใช่ ถ้ามีเบาะแสก็ดี”วารุณีเอาผมทัดหูแล้วพูด
นัทธีเม้มริมฝีปาก“เบาะแสมี แต่แกะรหัสไม่ได้”
“หมายความว่าไง?”วารุณีมองเขา
นัทธีตอบ:“ช่วงก่อนหน้านี้ ผมหาจดหมายฉบับหนึ่งเจอในห้องของคุณปู่เมื่อก่อน บนจดหมายเขียนไว้ว่า พินัยกรรมอยู่ข้างพ่อแม่ผม แต่พ่อแม่ผมเสียไปสิบแปดปีแล้ว ดังนั้นเบาะแสพินัยกรรมนี้จึงกลายเป็นความขัดแย้ง”
“ก็นิดหน่อยจริงๆ แต่ว่าใครบอกว่าอยู่ข้างกาย จะหมายถึงว่าข้างกายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะ”วารุณีพูดด้วยรอยยิ้ม
นัทธีได้ยินคำนี้ ก็ดูตะลึงไป“คุณหมายถึง เป็นไปได้ที่พินัยกรรมจะอยู่ในหลุมศพของพ่อแม่ผม?”
“ในหลุมศพน่าจะเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ไม่มีใครไปทำอะไรหลุมศพได้ เป็นไปได้มากที่สุดก็คืออยู่ที่ใดที่หนึ่งข้างหลุมศพ”วารุณีพูดวิเคราะห์
นัทธีกำฝ่ามือแน่น“ก็อาจจะ คุณพูดถูก”
ปกติภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ใครก็ไม่คิดหรอกว่าพินัยกรรมจะอยู่ข้างหลุมศพ เพราะว่าไม่มีใครคิดว่าจะมีคนเอาของไปซ่อนไว้ที่แบบนั้นได้
แต่ความเป็นไปไม่ได้แบบนี้ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้น
“นัทธี ไม่งั้นคุณให้คนไปหาไหม?”วารุณีพูดเสนอ
นัทธีพยักหน้า“หาต้องหาอยู่แล้ว รอพรุ่งนี้กลับประเทศ ผมจะกลับไปดูหน่อย”
“อือ”วารุณีพยักหน้า
ไม่นานนัก นัทธีก็ออกจากบ้านมา ไปเจอกับผู้ว่าการสตีฟ
เพราะเรื่องนี้ เขาเป็นหนี้บุญคุณผู้ว่าการ จะต้องไปคืนบุญคุณ
วารุณีอยู่ในคฤหาสน์คนเดียว กินผลไม้ไป ดูทีวีไป
ในทีวีกำลังออกอากาศพอดี เป็นข่าวที่เจ้าหน้าที่แผนกสูติของหลายโรงพยาบาลต่างถูกสอบสวนและนำตัวไป
โลกภายนอกต่างรู้ว่าแผนกสูติของโรงพยาบาลเหล่านี้ทำอะไร เวลานี้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลไม่กี่แห่งนี้ก็ได้รับคำถามอย่างรุนแรง
สตรีมีครรภ์จำนวนมากที่ฝากครรภ์ในโรงพยาบาลเหล่านี้ ก็ถึงกับถือป้ายประท้วง
สรุปว่าเรื่องนี้ใหญ่โต เชื่อว่าต่อไปก็คงไม่สงบลงง่ายๆอีกนาน
แต่ว่าวารุณีรู้สึกสมน้ำหน้า ไม่เห็นใจ
ตอนเย็น เชอรีนพาเด็กทั้งสองคนกลับมา
ตอนกลับมา เชอรีนก็รีบมาหาวารุณี“วารุณี ฉันไปเจอเรื่องหนึ่งมา
“เรื่องอะไร?”วารุณีดื่มนมแล้วถามออกไป
เชอรีนมองเด็กทั้งสองคนแวบหนึ่งอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
วารุณีเข้าใจทันทีว่าเธอจะพูดอะไรต่อไป ไม่เหมาะสมที่จะให้เด็กทั้งสองคนได้ยิน จึงยิ้ม“อารัณ พาน้องไปเล่นข้างบนไป”
“ครับ”อารัณตอบกลับ จูงไอริณเดินไปชั้นบนอย่างเชื่อฟัง
แต่ตอนที่ไป เขาหันมามองวารุณีกับเชอรีน ในดวงตามีประกายหน่อยๆ
แป๊บหนึ่ง ในห้องรับแขกเหลือแค่เชอรีนกับวารุณีเพียงสองคน
วารุณีวางแก้วนมลง“พูดมาเถอะ เรื่องอะไร”
“ก็โสรยา”เชอรีนนั่งลง“วารุณี ตอนเที่ยงฉันพาเด็กทั้งสองคนไปเดินเล่นที่ห้าง เจอโสรยากับอาจารย์ของเธอ”
“อาจารย์ลินดา?”วารุณีเลิกคิ้วขึ้น
เชอรีนพยักหน้า“ถูกต้อง สวมเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่ง สวมหมวกปีกกว้าง น่าเสียดายที่ไม่เห็นหน้าของเธอ แต่ไม่เห็นก็ดี ฉันไม่อยากเห็นใบหน้าที่ไม่เรียบเนียน คิดดูแล้วน่ากลัว แต่มือที่เธอยื่นออกมา ก็ทำฉันตกใจมาก บนมือมีรอยไหม้เยอะมาก”
“เธอจริงๆด้วย”วารุณีได้ยินบรรยายการสวมใส่แบบนี้ ในหัวปรากฏภาพคนที่เจอในร้านอาหารครั้งนั้นทันที
จริงๆด้วย ที่เธอเห็นครั้งที่แล้ว ก็คืออาจารย์ลินดา
อาจารย์ของโสรยา
“วารุณี เธอเคยเห็น?”เชอรีนมองวารุณี
วารุณีตอบอือ“เคยเห็น แต่มีอะไรน่าแปลกเหรอ โสรยาเป็นศิษย์ของเธอ การแข่งขันของลูกศิษย์ อาจารย์มาดูก็ไม่แปลกนี่”
รออาจารย์เธอร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนเสร็จ ก็จะมา
“ไม่มีอะไรแปลกหรอก แต่ถ้าฉันบอกว่า รูปร่างของอาจารย์ลินดาคนนี้ เหมือนกันเด๊ะๆ กับคนนั้นที่ทำฉันสลบล่ะ?”เชอรีนจ้องวารุณีเขม็ง
สีหน้าวารุณีเปลี่ยนไป“เหมือนกัน?”
“ถูกต้อง ส่วนสูงรูปร่างเหมือนกัน ฉันเป็นนางแบบ อ่อนไหวมากกับรูปร่างและส่วนสูงของคนอื่น แค่เจอครั้งเดียว ฉันก็คำนวณสัดส่วนของพวกเขาในใจแล้ว ดังนั้นฉันมองไม่ผิดแน่ และอาจารย์ลินดาก็ผมทอง”เชอรีนพูดอย่างจริงจัง
วารุณีรู้สึกเย็นหลัง“งั้นพูดแบบนี้ เรื่องนี้ก็เป็นสองคนอาจารย์และลูกศิษย์โสรยาที่ทำจริงๆ ส่วนเอมี่กับนางแบบของเธอ ก็แค่เป็นแพะรับบาปที่ถูกผลักออกมา”
“ต้องใช่แน่ ก็แค่พวกเราเจอเอมี่ไม่ได้ ถ้าได้เจอก็ดี”เชอรีนถอนหายใจ
“เจอไม่ได้ เรือนจำประเภทหนักไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะเข้าได้ ถ้าเป็นนัทธีก็ไม่แน่ว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมนักโทษ”วารุณีส่ายหน้าพูด
ยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ในประเทศ
นัทธีอยู่ในประเทศ น่าจะง่ายมาก เพราะว่าประเทศจะต้องเปิดไฟเขียวให้เขาในระดับหนึ่งแน่ ใครให้เขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่เสียภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศล่ะ
แต่ในต่างประเทศต่างกัน ถึงเขามีเงินแค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าเขาจะได้รับอนุญาต เพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่คนในประเทศนี้ นอกจากเขาย้ายถิ่น
“งั้นพวกเราจะทำอย่างไร แบบนี้พวกเอมี่บริสุทธิ์ชัดๆ กลับไม่สามารถขอความเป็นธรรมให้พวกเธอได้ เสียใจจริงๆห่าเอ๊ย”เชอรีนขย้ำผมอย่างหงุดหงิด“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นสองคนอาจารย์และลูกศิษย์โสรยาลอยนวลอยู่ข้างนอก ก็ยิ่งเสียใจ”
“ไม่ใช่แค่เธอ ฉันก็เสียใจ แต่ไม่เป็นไร ทางสำนักงานนักสืบยังสืบสวนกันอยู่ คอยดูก่อนละกัน”วารุณีลูบขมับแล้วพูด
นอกจากรอ เธอก็คิดหาทางอื่นไม่ได้แล้ว
จะจับสองคนอาจารย์และลูกศิษย์โสรยาไปที่โรงพักเลยไม่ได้หรอกนะ?
เชอรีนถอนหายใจ ไม่พูดอะไร
หัวมุมชั้นสอง อารัณหันกลับ ค่อยออกไป กลับไปที่ห้อง
ตอนอยู่ห้าง ความโกรธที่คุณน้าเชอรีนมองเห็นหญิงสาวสองคนนั้น ก็ทำให้เขาใส่ใจอย่างมาก
เพราะว่าตอนนั้นคุณน้าเชอรีนพูดมาประโยคหนึ่งว่า‘ผู้หญิงสองคนนี้แหละที่ทำร้ายฉันกับวารุณี’
ตอนนั้นเขาถามคุณน้าเชอรีน ผู้หญิงสองคนนั้นทำอะไรกับเธอและหม่ามี๊
คุณน้าเชอรีนกลับบอกว่า นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่ายุ่ง เลยไม่บอกเขา
แต่ไม่บอกเขา เขาก็แอบฟังเอง
ถึงเมื่อกี๊หม่ามี๊กับคุณน้าเชอรีนยังไม่พูดว่าผู้หญิงสองคนนั้นทำร้ายพวกเธออย่างไร แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการหาของเขาเอง
คิดไป อารัณก็มานั่งอยู่หน้าคอม
ไอริณวางตุ๊กตาบาร์บี้ในมือลง“พี่ พี่ทำอะไรเนี่ย”
“พี่หาข้อมูลนิดหน่อย ตัวเองเล่นไปเองก่อนละกัน เดี๋ยวพี่เล่นด้วย”อารัณจ้องคอม พูดโดยไม่หันหน้ากลับ
ไอริณพยักหน้าเล็กๆลง“โอเค งั้นพี่รีบละกัน”
“อือ”อารัณเจียดเวลาตอบไป แล้วมือเล็กๆก็เริ่มเคาะไปที่แป้นพิมพ์
เขาเข้าข้อมูลส่วนตัวของโสรยากับลินดาก่อน จากนั้นค้นหาตามข้อมูล
ถึงแม้ครั้งที่แล้วเขาเตือนพ่อ ให้พ่อสืบเกี่ยวกับโสรยานั่น แต่พ่อสืบมาได้น้อยมาก เห็นข้อมูลพื้นฐานของโสรยาเท่านั้นเอง ครั้งนี้ เขาจะหาให้ละเอียดหน่อย
แป๊บเดียว ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
คิ้วเล็กๆของอารัณขมวดแน่น กำลังจ้องเปรียบเทียบภาพตรงหน้าคอม
ภาพเปรียบเทียบยังมัวอยู่มาก เขากำลังใช้แอปพลิเคชันค่อยๆซ่อมแซม กระบวนการซ่อมแซมนั้นช้ามาก เพราะว่าต้องเอาภาพที่มัว ซ่อมแซมให้คมชัดมาก กระบวนการนี้จึงค่อนข้างยาวนาน
ตอนนี้เพิ่งซ่อมแซมไปเพียงหกสิบเปอร์เซ็นต์ เหลืออีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยซ่อมแซมเสร็จก็ต้องสองสามนาที
ตอนนี้เอง ประตูห้องก็ถูกเคาะ
อารัณหันมองไปที่หน้าประตู“หม่ามี๊?”
“แม่เอง”เสียงของวารุณีดังขึ้นด้านนอกประตู
“หนูไปเปิดประตูเอง”
ไอริณรีบกระโดดลงจากเตียง วิ่งปังปังปังไปเปิดประตู
ประตูเปิดออก วารุณีจูงเธอเข้ามา มองลูกชายที่อยู่หน้าคอม ถามด้วยรอยยิ้ม“ทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“กำลังหาข้อมูลของโสรยาครับ”อารัณก็ไม่ปิดบัง ตอบไปตรงๆ