พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 490 ผลตรวจ
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ไอริณเป็นลูกสาวแท้ๆของพ่อ แต่เขาไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของพ่อ
เขากับไอริณเป็นฝาแฝดกัน จะเป็นไปได้ยังไงว่าพ่อของเขากับไอริณ จะไม่ใช่คนเดียวกัน ?
เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน แต่หม่ามี๊ไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นแน่ๆ
ทันทีที่คำพูดของเด็กน้อยโพล่งออกมา ผู้ใหญ่ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ต่างก็เงียบไป
จากนั้นไม่นาน พิชิตก็พูดพึมพำว่า“ จริงด้วย ไอริณเป็นลูกสาวของนัทธี งั้นอารัณก็น่าจะต้องเป็นลูกชายของเขา แต่ทำไมผลการตรวจทั้งสองครั้งถึงได้……”
ใบหน้าของนัทธีดำดิ่ง ราวกับกำลังหักห้ามใจอะไรบางอย่าง
เขามองไปที่อารัณ“อารัณ ยินดีที่จะตรวจกับพ่ออีกรอบไหม?”
“ยินดีครับ”อารัณพยักหน้าให้อย่างจริงจัง
เขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าตัวเองเป็นลูกของพ่อหรือเปล่า
นัทธีอุ้มอารัณไปยังแผนกตรวจสอบ
ทางแผนกตรวจสอบก็กำลังเร่งทำการตรวจผลดีเอ็นเอของนัทธีกับไอริณอยู่
ตอนนี้ทางฝ่ายตรวจสอบก็ได้ยินว่านัทธีจะขอตรวจของเด็กอีกคนหนึ่งเพิ่ม ก็ดึงเส้นผมของพวกเขาที่อยู่ตรงหน้า แล้วทำการตรวจให้ทันที
การรอคอยที่แสนยาวนาน
ป้าส้มกลับไปที่หน้าห้องผ่าตัด และเฝ้ารอดูไอริณต่อ
เพราะปล่อยเด็กน้อยให้อยู่ที่ห้องผ่าตัดเพียงลำพัง เธอก็ไม่วางใจ
นัทธีกับพิชิตและอารัณสามคน ก็รออยู่หน้าห้องตรวจ
อารัณเอ่ยพูดว่า“ตอนที่ผมเจอพ่อครั้งแรก เพราะหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกัน จึงสงสัยว่าพ่อเป็นพ่อแท้ๆของผม จากนั้นก็เอาเส้นผมสองเส้นของพ่อ กับเส้นผมของผมเองไปตรวจ”
“ใช่ครั้งแรกที่ไปคอนโดของเราใช่ไหม เราเอาของเล่นนั้นมาแล้วดึงผมไป ? ” นัทธีมองไปยังเด็กน้อย
เด็กน้อยพยักหน้าให้อย่างรู้สึกผิด “ครับ ใช่ ขอโทษครับ ผมแค่……”
“ไม่เป็นไร”นัทธีลูบไปที่ศีรษะของเขา จากนั้นก็พูดว่า“ผลที่ออกมา เราไม่ได้เป็นพ่อลูกกันใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”อารัณตอบกลับมาคำหนึ่ง“ ดังนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่เคยคิดอีก ว่าพ่อจะเป็นพ่อแท้ๆของเรา”
นัทธีเม้มปาก “พ่อก็เคยเอาไปตรวจอยู่สองครั้ง ”
อารัณกะพริบตาปริบๆ“ผมรู้ ก่อนหน้านั้นตอนที่พ่อกับหม่ามี๊ทะเลาะกัน ผมได้ยิน การตรวจทั้งสองครั้ง ยืนยันว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกัน”
“ใช่ นอกจากจะยืนยันว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกันแล้ว ก็ยังยืนยันว่าพ่อกับไอริณไม่ใช่พ่อลูกกันด้วย”นัทธีหรี่ตาลง
การตรวจทั้งสองครั้ง เขาไม่เพียงแค่ตรวจของตัวเองกับอารัณ ของไอริณเขาก็ตรวจด้วย ผลที่ออกมาก็ระบุว่าไม่ใช่ลูกของเขา
แต่ตอนนี้ทางโรงพยาบาลกลับบอกเขาว่า ไอริณน่าจะเป็นลูกสาวแท้ๆของเขา นี่มันหมายความว่ายังไง
มันหมายความว่าการตรวจที่ผ่านมาทั้งสามครั้งนั้น มีปัญหา
“พิชิต การตรวจสองครั้งของฉัน นายเป็นคนตรวจให้ ฉันอยากรู้ ว่านายทำมันขึ้นมาตบตาฉันใช่ไหม ? ”นัทธีเงยหน้าขึ้นแล้วจับจ้องมองไปที่พิชิต สายตาเฉียบคม ราวกับจะมองคนให้ทะลุได้
“ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน” พิชิตขมวดคิ้วแล้วตอบกลับทันที“ตอนที่ฉันทำการตรวจให้ ไม่ได้หลอกอะไรนาย และไม่ได้เล่นตุกติกอะไรด้วย ”
ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ตก
การตรวจดีเอ็นเอของเขา ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้แน่ ผลของยีนสามตัว ไม่มีความสัมพันธ์กันในสายเลือด
แต่ตอนนี้ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกของไอริณทำให้เขาเข้าใจว่า ระหว่างไอริณกับนัทธีไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องทั้งหมด ?
เมื่อเห็นว่าพิชิตไม่ได้พูดโกหก นัทธีก็เงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า“นายไม่ได้เล่นตุกติก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนทำ แต่ผลตรวจจะมีใครทำอะไรกับมันหรือไม่ รอผลของทางนี้ออกก็รู้”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็หลุบตาลง และไม่ได้พูดอะไรอีก
พิชิตมองดูสองมือที่ประสานกันแน่นของเขา รู้ว่าเขาในตอนนี้กำลังประหม่า
ตื่นเต้นกับผลการตรวจที่กำลังจะรู้งั้นเหรอ ?
อันที่จริงแล้วไม่ใช่แค่นัทธีที่กำลังประหม่าเท่านั้น พิชิตเองก็รู้สึกประหม่าด้วย
เพราะถ้าหากผลตรวจนั่นออกมา พบว่ามันตรงกันข้ามกับที่เขาเคยทำการตรวจไป นั้นก็หมายความว่า ผลการตรวจของเขา มันมีปัญหาจริงๆ
รอบตัวเขา มีคนที่ไม่ต้องการให้นัทธีกับเด็กทั้งสองคนได้ผูกสัมพันธ์กัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พิชิตก็รู้สึกเสียวไปที่สันหลัง
หลังจากรอประมาณหนึ่งชั่วโมง ผลตรวจยังไม่ออกมา ป้าส้มก็เดินมาหา
“คุณผู้ชาย ไอริณออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว ตอนนี้ได้ส่งตัวไปยังห้องผู้ป่วยแล้วค่ะ” ป้าส้มพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
คิ้วที่ขมวดแน่นของนัทธีก็คลายลง พยักหน้าให้เล็กน้อย“ ครับ ป้ากลับไปดูเธอก่อน รอผลตรวจออกมา แล้วผมจะตามไป”
“ได้ค่ะ”ป้าส้มพยักหน้าให้ แล้วจากไปอย่างเร่งรีบ
เธอเดินจากไปได้ไม่นาน ประตูห้องของตรวจก็เปิดออก พยาบาลคนหนึ่งก็เดินออกมา “คุณนัทธีอยู่ไหมคะ ?”
เมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง นัทธีก็รู้สึกแน่นไปที่หน้าอก ฝากอารัณไว้กับพิชิต แล้วลุกขึ้นยืน “อยู่ครับ”
พยาบาลส่งเอกสารในมือให้เขา“ นี่คือผลตรวจดีเอ็นเอของคุณกับเด็กทั้งสองคนค่ะ”
นัทธีมองไปยังผลตรวจที่พยาบาลส่งมาให้ ค่อยๆหลับตาลง แล้วปรับสภาพอารมณ์ ก็ถึงได้รับมันมา
“เปิดไปหน้าหลังสุดเลย”พิชิตพูดขึ้น
ด้านหน้าไม่ต้องไปดู ดูไปก็ไม่มีอะไร ดูผลด้านหลังที่ออกมาก็พอ
ริมฝีปากบางของนัทธีเม้มแน่น ภายใต้สายตาที่ตื่นเต้นของอารัณจับจ้องมา เปิดเอกสารไปยังหน้าสุดท้าย เมื่อเห็นประโยคนั้น ‘คุณนัทธี กับเด็กชายอารัณและเด็กหญิงไอริณผลรายงานการตรวจพิสูจน์ ระบุว่ามีความน่าจะเป็นบิดา 99%’ เมื่อชายหนุ่มเห็น ก็กำผลตรวจในมือแน่น ดวงตาแดงก่ำ
เป็นความจริง
เด็กทั้งสองคน เป็นลูกของเขาจริงๆ!
เมื่อเห็นนัทธีกำผลตรวจในมือแน่นจนยับยู่ยี่ และมือก็ยังสั่นไหวเล็กๆ หัวใจของพิชิตเต้นโครมคราม“นัทธี นายเป็นอะไร?”
อย่าบอกนะว่าผลที่ออกมามันไม่ใช่ นัทธีถึงได้ผิดหวังและร่างกายไหวสั่นแบบนี้
“พ่อครับ?”อารัณก็เอ่ยเสียงเรียกเบาๆ
นัทธีสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังกลับมา มองไปยังอารัณด้วยดวงตาที่อ่อนโยน
เมื่อก่อนเขาเองก็เคยสงสัย ว่าทั้งๆที่ไม่ใช่ลูกของเขา แต่ทำไมอารัณถึงได้หน้าตาเหมือนเขามาก
ที่แท้ อารัณก็เป็นลูกของเขา และรูปหน้าหน้าตาของอารัณ ก็ถอดแบบของเขาไปทุกกระเบียดนิ้วเลย
“อารัณ”นัทธีอุ้มร่างของอารัณมาจากพิชิตแล้วกระชับไว้ในอ้อมอก กอดเอาไว้แน่น
นี่คือลูกชายของเขา
ลูกชายแท้ๆของเขา ที่วารุณีเป็นคนให้กำเนิด
เมื่อรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของนัทธี อารัณก็พอจะเดาอะไรขึ้นมาได้ โอบแน่นไปที่ลำคอของนัทธีด้วยเช่นกัน น้ำเสียงมีเสียงสะอื้นปน “พ่อครับ”
คำว่าพ่อคำนี้ ไม่มีความเกรงและระแวดระวังอะไรอีก
เพราะอารัณคิดมาโดยตลอด ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อ แม้จะเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อ แต่ยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆของเขา เพราะฉะนั้นคำว่าพ่อที่เขาเรียก ก็จึงยังคงมีระยะห่างและความเกรงใจอยู่
แต่คำเรียกพ่อในตอนนี้ ไม่มีความห่างเหินอะไรอีก มีเพียงความใกล้ชิดและความชื่นชมในตัวพ่อ
เขารู้ ว่าพ่อที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่พ่อเลี้ยงอีกต่อไป แต่เป็นพ่อแท้ๆของเขา และเป็นพ่อที่ผูกพันกันทางสายเลือดกับเขา
“พ่ออยู่นี่ พ่ออยู่นี่แล้ว”นัทธีจูบไปที่หน้าผากของอารัณ แล้วพูดตอบกลับไปอย่างไม่หยุด
พิชิตที่ยืนมองดูพ่อลูกอิงแอบแนบชิดกัน ก็เข้าใจอะไรบางอย่างได้
แต่เพื่อเป็นการยืนยัน เขาก็หยิบผลตรวจที่อยู่ในมือของนัทธีมา
เมื่อเห็นผลตรวจ ในขณะที่พิชิตกำลังยินดีอยู่กับนัทธีไปด้วย ในใจก็กรุ่นโกรธมากเช่นกัน
“นัทธี บางทีนายอาจจะพูดถูก การตรวจทั้งสองครั้งของฉัน ถูกคนเล่นไม่ซื่อ ไม่ได้ลงมือในขั้นตอนของการตรวจ แต่ลงมือกับตัวอย่างของDNA ”พิชิตมองไปที่นัทธี
ผลการตรวจที่ออกมา เขาเป็นคนลงมือทำเอง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ละสายตาไปไหนเลย ดังนั้นหากคิดจะทำอะไรในช่วงนั้น ย่อมจะเป็นไปไม่ได้
และที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็คงจะเป็นที่ตัวอย่างของDNAที่ไม่ถูกต้อง