พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 497 กระแสบนโลกออนไลน์
แม้ไม่รู้ว่าพงศกรจะปล่อยวางเรื่องของวารุณีไปได้จริงๆ หรือว่ายังเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้อยู่
แต่ไม่ว่ายังไง ในช่วงระยะเวลานี้ พงศกรก็ประพฤติตัวดีอยู่มากจริงๆ
“รอการแข่งขันระดับนานาชาติเสร็จสิ้น เรามาจัดงานแต่งงานกันเถอะ ”ในตอนนี้เอง จู่ๆนัทธีก็พูดขึ้นมา
วารุณีตัวแข็งทื่อ เงยหน้าขึ้นมองเขา “แต่งงาน?”
“ใช่ เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาก็นานแล้ว เพราะเราต่างคนก็ต่างยุ่ง ไม่ได้จัดงานแต่งงานสักที แต่ยังไงงานแต่งงานก็ต้องจัดขึ้น ต่อให้จะยุ่งกันมากแค่ไหน ก็ต้องสละเวลามาสักสองสามวันให้ได้ ไม่ยืดเยื้อให้นานไปกว่านี้อีกแล้ว ”นัทธีลูบผมเธอแล้วพูดขึ้นมา
ในใจของวารุณีสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ส่ายหัวกลับให้อย่างรวดเร็ว “ รออีกสักหน่อยเถอะนะคะ ?”
“ทำไม?”นัทธีขมวดคิ้ว
วารุณีถอนหายใจ“ยังจับตัวนวิยาไม่ได้เลย นิรุตติ์ก็ยังจับไม่ได้ เกิดเราจัดงานแต่งกันขึ้นมา พวกเขามาก่อเรื่องขึ้นไม่เป็นผลดีแน่ ดังนั้นรอให้จับตัวพวกเขาทั้งคู่ให้ได้ก่อนแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันดีกว่านะคะ”
นัทธีเม้มริมฝีปากบาง แต่ก็ตกลงตามนั้น
เพราะการจัดงานแต่งงาน ต้องเชิญคนมาร่วมงานมากมายแน่นอน
หากนิรุตติ์กับนวิยาเกิดมาอาละวาดและสร้างเรื่องขึ้นในวันนั้น คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย นั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยลงได้
“ก็ได้ เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ขอโทษนะ ทำคุณแย่ไปด้วยเลย ไม่ได้จัดงานแต่งงานให้คุณสักที”นัทธีมองวารุณีด้วยสายตาที่รู้สึกผิด
วารุณีหัวเราะ “ไม่เลยค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย ”
เรื่องงานแต่งงาน จะจัดขึ้นเมื่อไรก็ได้
“คุณพ่อ หม่ามี๊”จู่ๆเสียงของอารัณก็ดังขึ้น
ทั้งสองมองไป
ป้าส้มอุ้มเขาเข้ามา
วารุณียิ้มและโบกมือให้ “ฉีดยาเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
อารัณพยักหน้าให้ “เรียบร้อยแล้วครับ ไอริณฟื้นหรือยังครับ ?”
เขามองไปยังไอริณที่มีหมอและพยาบาลรายล้อมอยู่
ไอริณอยากจะทักทายกับพี่ชาย แต่ก็มองไม่เห็นร่างของพี่ชาย มันจึงทำให้เธอไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร
จนกระทั่งหมอเดินออกไปแล้ว จึงได้เห็นพี่ชาย และคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง “พี่อารัณ”
อารัณขอให้ป้าส้มวางร่างของเขาลงบนเตียง จากนั้นก็คลานไปหาไอริณ“ ขอโทษนะไอริณ ที่พี่ไม่ได้ปกป้องดูแลเธอให้ดี ”
ไอริณส่ายหัว“พี่อารัณเก่งที่สุดแล้ว แต่เพราะเรายังเด็กเกินไป เลยสู้คุณน้านวิยาคนนั้นไม่ได้ ”
เมื่อได้ยินคำนี้ ขอบตาของวารุณีก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
นัทธีโอบไปที่ไหล่ของเธอ“หลังจากที่เกิดเรื่อง ไอริณก็โตและรู้ความขึ้นมาก ”
“ใช่ค่ะ”วารุณีสูดจมูก“ แต่ฉันไม่ชอบเลยที่ต้องให้ไอริณเติบโตด้วยวิธีแบบนี้”
“ไม่เป็นไรนะ เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก อีกสองวันคุณกลับไปที่คฤหาสน์ พาลูกๆไปด้วย ”นัทธีกล่าว
วารุณีหันไปมองเขา “พาไปด้วย ?”
“ใช่ ตอนนี้นวิยายังถูกผมปิดล้อมไว้ที่จังหวัดจันทร์ แต่เธอซ่อนตัวได้ดี ดังนั้นจึงยังหาตัวเธอไม่เจอ ผมคิดว่า น่าจะมีคนให้ความช่วยเหลือเธออยู่ ดังนั้นคุณพาลูกไปต่างประเทศด้วย ไม่ต้องมาคอยกังวลว่านวิยาจะโผล่มาและลงมือทำร้ายลูกอีกเมื่อไร” นัทธีตอบเสียงเบา
วารุณีเองก็คิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน จึงพยักหน้าเห็นด้วย“ได้ค่ะ วันมะรืนฉันจะพาลูกๆไปด้วย พรุ่งนี้จะไปทำเรื่องขอพักการเรียนให้ลูกที่โรงเรียน แล้วให้พวกเขาไปเรียนต่อกันที่ต่างประเทศ”
“สมัครเรียนให้ไอริณคนเดียวก็พอ อารัณไม่ต้อง ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้นกับไอริณ เขาก็มุ่งมั่นตั้งใจอยากที่แกร่งขึ้น เพราะฉะนั้นการเรียนของเขาผมจะจัดตารางเรียนให้เขาใหม่ ด้วยระดับไอคิวของเขา ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาในโรงเรียนอนุบาลอีกแล้ว เขาควรเอาเวลาที่มีค่าเหล่านั้นไปทำเรื่องอย่างอื่นมากกว่า ” นัทธีพูดเสียงเข้ม
วารุณีถลึงตาใส่เขา“ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเด็กๆเป็นลูกของคุณ เรื่องการศึกษาของพวกเขาคุณแทบไม่เคยเข้ามายุ่งอะไรด้วยเลย เว้นแต่เด็กๆอยากจะขอเรียนเองคุณถึงจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ตอนนี้พอรู้ว่าเป็นลูกแท้ๆ ก็เริ่มที่จะจัดแจงเตรียมการวางแผนให้อารัณแล้วเหรอคะ?”
นัทธีหัวเราะออกมาเสียงเบา“เมื่อก่อนผมเป็นแค่พ่อเลี้ยง เรื่องที่เกี่ยวกับเด็กๆ ไม่ควรที่จะเข้าไปวุ่นวายให้มากเกินไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมเป็นพ่อแท้ๆของเด็กๆ การศึกษาของพวกเขา ก็ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องดูแลรับผิดชอบ ”
“ก็ได้ค่ะ คนเจ้าเหตุผล ทำตามอย่างที่คุณพูดก็แล้วกัน”วารุณีโบกมือ
ที่อารัณยังคงเรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล ก็เพื่ออยู่เรียนเป็นเพื่อนกับไอริณเท่านั้น หากวัดกันตามความสามารถจริงๆของอารัณ อย่างน้อยก็น่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว
ในเมื่ออารัณมีความตั้งใจที่จะทำตัวเองให้เก่งกาจมากความสามารถยิ่งขึ้น งั้นเธอในฐานะของคนเป็นแม่ ก็ไม่คิดที่จะขวาง บางทีการจัดการของนัทธี อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับอารัณก็ได้
ตอนเที่ยง เด็กทั้งสองก็กินยาแล้วผล็อยหลับไป
วารุณีเองรีบร้อนตีตั๋วเดินทางกลับ ตอนอยู่บนเครื่องก็เอาแต่เป็นกังวลเรื่องลูกๆ จึงไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน
ตอนนี้รู้แล้วว่าเด็กๆไม่เป็นอะไร สภาพร่างกายและจิตใจก็รู้สึกผ่อนคลาย ความง่วงงุนที่สะสมก็ถาโถมเข้าใส่
ในที่สุด ภายใต้การร้องขอของนัทธี เธอก็ผลุบหลับไปที่ข้างเตียงของไอริณ
นัทธีหยิบผ้าห่มมา แล้วคลุมลงบนตัวเธอ จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างเตียง มองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคยของสามคนแม่ลูก ดวงตาที่อ่อนโยนก็คลอหน่วยน้ำใส
จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ถ่ายรูปเก็บภาพของสามคนแม่ลูกเอาไว้ จากนั้นก็ตกแต่งนิดหน่อย ปิดบังอำพรางใบหน้าของพวกเขา แล้วโพสต์ลงTwitterที่ไม่ได้โพสต์เป็นเวลานานหลายปี:ภรรยาและลูกของฉัน
แม้นัทธีจะไม่ใช่คนในแวววงบันเทิง แต่เพราะภูมิหลังฐานะที่มั่งคงของเขา และตำแหน่งคณะกรรมการและประธานของบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ป คนที่ติดตามTwitterของเขาจึงมีจำนวนไม่น้อย อย่างต่ำก็น่าจะราวๆหนึ่งร้อยล้านคนได้ จำนวนคนผู้ติดตามมีมากกว่าศิลปินตัวท็อปบางคนในวงการบันเทิงเสียด้วยซ้ำ
เพราะเหตุนี้ ทันทีที่เขาโพสต์ลงTwitter บนโลกออนไลน์ก็ร้อนระอุขึ้นมาทันที จากนั้นแฮชแท็กคำว่าภรรยาและลูกของนัทธี ก็พุ่งทะยานติดเทรนด์
“ภรรยาและลูก?ไม่หรอกมั้ง?นัทธีเพิ่งจะแต่งงานไปได้ไม่กี่เดือน ทำไมมีลูกโผล่มาได้ เด็กก็โตแล้วด้วย มีสองคนอีกต่างหาก แฝดชายหญิงเหรอ ?”
“โอ้ๆๆๆ สามีของฉัน เป็นพ่อคนอื่นไปแล้ว”
“เด็กสองคนนี้ ดูจากส่วนสูง น่าจะอายุสี่หรือห้าขวบ เมื่อสี่หรือห้าปีก่อนประธานนัทธีเพิ่งจะหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลศรีสุขคํา เมื่อสองสามเดือนที่แล้วก็เพิ่งจะถอนหมั้นแล้วแต่งงานใหม่ ดูไปแล้วเด็กสองคนนี้ น่าจะคลอดในช่วงที่ประธานนัทธีกับคุณหนูตระกูลศรีสุขคําหมั้นหมายกัน จิ๊ๆๆ คนมีเงินนี่ก็มั่วเหมือนกันนะ”
“อ๊ากๆๆๆ ฉันไม่เชื่อว่าสามีของฉันเป็นผู้ชายเฮงซวย ”
“ข้อความด้านบน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สามีเธอเมื่อห้าปีก่อนคบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง จากนั้นก็มาหมั้นกับคุณหนูตระกูลศรีสุขคํา แล้วก็เลิกกัน มาแต่งกับผู้หญิงคนเดิม ต้องบอกว่า คุณหนูตระกูลศรีสุขคําช่างน่าสงสารจริงๆ”
ในเวลานั้น การพูดคุยบนโลกออนไลน์ก็เป็นไปอย่างไม่หยุด
นัทธีขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าก็ดูแย่ลงเล็กน้อย
เดิมทีเขาก็แค่อยากจะแชร์เรื่องภรรยาและลูก ไม่คิดว่าคนบนโลกออนไลน์จะมีความคิดฟุ้งซ่าน มาหาว่าเขาเป็นผู้ชายเฮงซวย
นัทธีเม้มปากแน่น แล้วเปิดไปที่ไบโอหน้าหลักของตัวเอง เริ่มพิมพ์ข้อความ: ลูกทั้งสองคน เป็นลูกของผมกับคุณหนูตระกูลศรีสุขคําตัวจริง คุณหนูตระกูลศรีสุขคําคนที่หมั้นกับผม เป็นลูกเลี้ยงของสุภัทร ไม่ใช่คู่หมั้นที่คุณปู่ผมท่านหมายมั่นเอาไว้ให้ พิชญาแอบอ้างตัวเป็นคู่หมั้นของผม
หลังจากที่พิมพ์เสร็จ เขาก็กดส่ง โพสต์ข้อความนี้อีกครั้ง
ไม่นาน กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ก็ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ้โห คุณหนูตัวจริงกับตัวปลอม คู่หมั้นตัวจริงกับตัวปลอม นี่ฉันกำลังดูละครอยู่หรือไง ? นี่ล่ะมั้งที่เขาว่าละครสร้างมาจากชีวิตจริง”
“เดี๋ยวก่อน นี่ฉันสับสนไปหมดแล้ว ฉันต้องเข้าใจว่า ภรรยาของประธานนัทธีในตอนนี้ ก็คือคุณหนูตระกูลศรีสุขคําตัวจริง และคือคู่หมั้นตัวจริงของประธานนัทธี แต่ถูกพิชญาแย่งตำแหน่งคุณหนูตระกูลศรีสุขคําไป และแย่งตำแหน่งคู่หมั้นของประธานนัทธีไปด้วย ?”
นัทธีแสดงความคิดเห็นตอบอืมกลับไปใต้ข้อความนี้
คนที่โพสต์ข้อความนี้ ทันใดนั้นก็ตื่นเต้นจนกรีดร้องออกมา
“ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง ดังนั้นสามีของฉันก็ไม่ใช่ผู้ชายไม่ดีนะสิ ฉันดีใจจังเลยวู้ๆๆๆ ……”
“ยังไงความจริงก็คือความจริง ของปลอมก็คือของปลอม อะไรที่มันปลอมมันก็เปลี่ยนไม่ได้ ประธานนัทธีกับภรรยาคือคู่แท้ของกันและกัน ต่อให้พิชญาจะสร้างเรื่องขึ้นมายังไง สุดท้ายพวกเขาก็ได้ลงเอยด้วยกัน ขออวยพรให้ประธานนัทธีกับภรรยาด้วย”
“ขอบคุณ”นัทธีตอบกลับอีกครั้ง