พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 502 ขโมย
“ไปเถอะค่ะ” วารุณีพยักหน้าลง
นัทธีลูบศีรษะของเธอ แล้วมองไปยังเด็กทั้งสองคนที่กำลังเล่นของเล่นอยู่บนเตียงคนป่วย “มีอะไรก็โทรหาผมนะ ผมจะรีบกลับมาทันที”
“วางใจเถอะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” วารุณียิ้มพลางเอ่ยขึ้น
นัทธีเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วจับคางเธอขึ้นมา ประทับจูบลงไปอย่างแรง แล้วจึงได้ก้าวเท้าเดินออกไป
วารุณีลูบริมฝีปากที่ถูกเขาจูบจนรู้สึกเจ็บอย่างพูดไม่ออก
นัทธีขับรถมายังบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
ภายในออฟฟิศ มารุตนั่งอยู่บนโซฟา ทางด้านข้างนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งคุกเข่าถูกมัดเอาไว้
ผู้ชายคนนี้ดูแล้วอายุประมาณสามสิบกว่าๆ เขาสวมใส่ชุดทำงานของฝ่ายช่าง ทั้งร่างกายของเขากำลังสั่นด้วยความกลัว
เวลานี้ประตูออฟฟิศเปิดออกแล้ว
นัทธีเดินเข้ามาจากทางด้านนอก และมารุตจึงรีบลุกขึ้นมาทันที “ท่านประธาน”
นัทธีส่งเสียงอืมออกมา ถือว่าเป็นการตอบรับ หลังจากนั้นสายตาก็มองไปยังคนที่สวมใส่ชุดช่างที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น “เป็นเขาหรือ?”
“เป็นเขานี่แหล่ะครับ” มารุตพยักหน้าลง “ผมมาเอาเอกสารที่ตกหล่นไปฉบับนึงที่ออฟฟิศของท่าน แล้วเห็นเขากำลังเปิดตู้กับลิ้นชักของท่านประธานอยู่ครับ”
คนที่อยู่ตรงพื้นนั้นมุดศีรษะลงไปลึกๆ
สีหน้าของนัทธีเยือกเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง “แผนกช่างอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมไปตรวจสอบที่แผนกช่างแล้ว เขาไม่ใช่คนของแผนกช่าง แม้กระทั่งไม่ใช่คนของบริษัทไชยรัตน์ กรุ๊ปด้วย ชุดที่มันใส่ชุดนี้ถอดมาจากพนักงานแผนกช่างของเราคนหนึ่งครับ พนักงานคนนั้นถูกทำให้สลบไป แล้วทิ้งไว้ตรงที่จอดรถ” มารุตเอ่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่มีความโมโห
ความเย็นชาบนใบหน้าของนัทธีนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้น “ตอนนี้พนักงานคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“คนไม่เป็นอะไรครับ กลับไปที่แผนกช่างแล้วครับ เพราะว่าวันนี้เป็นวันตรวจเช็คลิฟต์ คนๆนี้ก็เลยอาศัยช่วงที่พนักงานคนนั้นตรวจเช็คลิฟต์ตัวที่ใช้เฉพาะ แล้วทำให้คนของเราสลบไป เปลี่ยนชุดแล้วก็ขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้า หลังจากนั้นก็ถือโอกาสแอบเข้าไปในออฟฟิศของท่านประธานครับ” มารุตชี้ไปยังคนที่คุกเข่าอยู่พลางเอ่ยขึ้น
คนที่คุกเข่าอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏให้เห็นใบหน้าที่ธรรมดาเสียจนไม่รู้จะธรรมดาได้อย่างไรอีกแล้ว
เวลานี้ใบหน้านั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำตาไหลออกมา “ประธานนัทธี ผมผิดไปแล้ว ผมรู้ว่าผมผิด ขอร้องล่ะปล่อยผมไปนะครับ ผมขอร้อง”
เขาว่าพลางแสดงความเคารพโดยการเอามือยันพื้นแล้วก้มศีรษะลง
แต่หลังจากนั้นก็ถูกมารุตเตะไปหนึ่งที พลางหัวเราะเยาะ : “ผิดไปแล้ว? แกมาขโมยของในออฟฟิศของท่านประธาน เพียงแค่ประโยคเดียวว่าผิดไปแล้วก็คิดจะให้พวกเราปล่อยแกไป หน้าตาก็ไม่ยังไง ทำไมถึงคิดได้สวยงามแบบนี้”
ร่างของชายคนนั้นสั่นเทาอย่างแรง “ผมเองก็มีอะไรมาดลใจ ผม……”
“แกเป็นลูกน้องของนิรุตติ์ หรือว่านิรุตติ์ไปหาตัวแกมาจากไหน?” นัทธีตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ผู้ชายคนนั้นตัวสั่น “ผม….ผมเป็นคนที่เขาหามา พูดความจริงกับคุณแล้วกัน ผมเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มพวกขโมยข้อมูลทางธุรกิจโดยเฉพาะ ตอนที่ผมเล่นเกมอยู่ที่บ้าน จู่ๆก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง คนๆนั้นให้ผมมาหาหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นที่ออฟฟิศของคุณ เดิมทีผมไม่ได้อยากจะมา เพราะถึงอย่างไรบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็ไม่ใช่บริษัทเล็กๆเหมือนที่เคยขโมยมาก่อน แต่ทางฝ่ายนั้นให้ราคาผมสูงมาก ผมก็เลย…..” พูดมาถึงตรงนี้แล้ว ในใจของผู้ชายคนนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
รู้ตั้งแต่แรกว่ามาครั้งนี้แล้วจะถูกจับได้ เขาจะพูดอะไรก็จะไม่รับปากทั้งสิ้น ต่อให้เงินจะมากกว่านี้เขาก็จะไม่ทำ
การทำอะไรที่ไหนก็ราบรื่นของเขาเมื่อก่อนหน้านี้นั้นลอยไปหมดแล้ว รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรคล่องแคล่วมาหลายบริษัทขนาดนั้นแล้ว แม้ว่าบริษัทไชยรัตน์ กรุ๊ปจะเป็นบริษัทใหญ่ที่อยู่นั้นอันดับห้าสิบต้นๆของโลก ตัวเองก็จะไม่พบเจอกับความล้มเหลวอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้……
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ
บริษัทใหญ่ก็คือบริษัทใหญ่จริงๆ จะไปเทียบกับบริษัทเล็กๆอย่างนั้นได้อย่างไรกัน นี่ไม่ใช่ว่าพอมาแล้วก็ล้มเหลวเลยหรอกหรือ
“ขโมยข้อมูลทางธุรกิจโดยเฉพาะ?” นัทธีหรี่ตาลง ไม่นึกว่าจะมีอาชีพแบบนี้ด้วย
มารุตกระแอมออกมา “ท่านประธานครับ มีอาชีพแบบนี้อยู่จริงๆครับ อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มองไม่เห็น บางบริษัทต้องการที่จะเอาข้อมูลของบริษัทอื่น หรือหลักฐานอะไรแบบนั้น ก็จะหาคนแบบพวกเขานี่แหล่ะไปขโมยมาครับ ในอาชีพนี้นับว่าเป็นกติกาซ่อนเร้นแบบหนึ่งครับ”
นัทธีหัวเราะเยาะ “ในเมื่อมีวิธีแบบนี้ ฉันก็ได้เปิดโลกทัศน์จริงๆแล้วสิ”
“เนื่องจากว่าไม่มีใครกล้ามาขโมยของบริษัทไชยรัตน์ กรุ๊ปของเรา ดังนั้นท่านประธานจึงไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติครับ เพียงแต่คนๆนี้กล้ามากไปหน่อยเท่านั้น” มารุตมองคนที่อยู่บนพื้นอย่างเยือกเย็น
คนๆนั้นหดคอลง “ประธานนัทธี ผมยอมรับแล้ว ขอร้องล่ะคุณปล่อยผมไปเถอะนะครับ ผมไม่ได้ขโมยอะไรไปเลย ครอบครัวของผมยังมีแม่ที่อายุมากแล้วก็ลูกเล็กที่ยังอายุไม่กี่ขวบอยู่ด้วย”
“ครอบครัวมีลูกด้วย แล้วยังจะมาทำเรื่องแบบนี้อีกเนี่ยนะ แกไม่กลัวว่าลูกแกจะอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาบ้างเลยหรือไง?” นัทธีเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
คนๆนั้นก้มหน้าลง “ผม….ผมเองก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ก็เพื่อการดำรงชีวิตนี่ครับ”
“เหอะ การดำรงชีวิตอย่างนั้นหรือ?” นัทธีจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าคนๆนี้กำลังโกหกอยู่ และขี้เกียจที่จะต้องสืบสาวถึงประวัติชีวิตจริงๆของคนๆนี้แล้ว เขามองไปยังมารุต “โทรศัพท์มือถือของมันล่ะ ให้มันโทรกลับไปหานิรุตติ์ แล้วบอกว่าได้หนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นมาแล้ว”
“ท่านประธานต้องการจะใช้วิธีนี้ เพื่อดึงดูดนิรุตติ์ หรือทำให้ตำแหน่งที่อยู่ของเขาปรากฏขึ้นหรือครับ?” ดวงตาของมารุตเป็นประกาย
นัทธีพยักหน้าลงเล็กน้อย “อืม”
“ผมจะทำตามนี้เลยครับ” ว่าแล้ว มารุตก็ให้คนที่อยู่ที่พื้นนั้นเอาโทรศัพท์มือถือออกมา หลังจากนั้นก็ยื่นส่งให้คนตรงหน้า “ปลดล็อค แล้วโทรซะ”
คนๆนั้นหน้ามุ่ยแต่ก็ทำตาม
นัทธีและมารุตเห็นว่าโทรออกไปแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หรี่ตาจ้องมองไปที่โทรศัพท์มือถือ
แต่โทรศัพท์กลับโทรไม่ติด เสียงผู้หญิงอัตโนมัติที่เย็นชานั้นบ่งบอกว่าไม่มีหมายเลขนี้
นัทธีกำหมัดแน่น
มารุตตกตะลึง “ด้านในนี้มีเครื่องดักฟัง?”
“ไม่มี ไม่มีแน่นอน” คนๆนั้นส่ายหน้าติดๆกัน
มารุจับคอเสื้อเขาขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นตอนที่แกมาขโมยของ ยังมีคุยกันกับนิรุตติ์อยู่ใช่ไหม นิรุตติ์ได้ยินเสียงฉัน รู้ว่าแกเปิดโปงออกมาแล้ว”
“ใส่ร้าย ผมไม่ได้คุยโทรศัพท์กับเขา แล้วก็ไม่กล้าโทรด้วย เพราะว่าบางบริษัทจะติดตั้งเซนเซอร์เอาไว้ ถ้าหากมีสัญญาณโทรศัพท์แปลกๆเซนเซอร์ก็จะร้องขึ้นมา ผมกลัวว่าที่นี่จะมีติดตั้งเหมือนกัน เลยไม่กล้าโทร” ชายหนุ่มรีบอธิบาย
มารุตรู้สึกอึ้งไป
เนื่องจากว่าที่คนนี้พูดมานั้นก็ไม่ผิด หลายๆบริษัทจะติดตั้งเซนเซอร์เอาไว้ ในออฟฟิศของประธานก็ติดตั้งเอาไว้ด้วยเช่นกัน และบันทึกเอาไว้เพียงสัญญาณโทรศัพท์เพียงไม่กี่สัญญาณเท่านั้น
ถ้าหากไม่ใช่หมายเลขเหล่านี้โทรออก เซนเซอร์จะต้องร้องขึ้นมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นคนๆนี้คงจะไม่ได้โกหก
“นี่เป็นเพียงแค่แผนหนึ่งของนิรุตติ์เท่านั้น” เวลานี้ จู่ๆนัทธีก็เอ่ยขึ้นมา
มารุตมองเขา “แผนหนึ่งหรือครับ?”
“นิรุตติ์คาดการณ์เอาไว้ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นไม่ได้จะขโมยไปได้ง่ายๆแบบนั้น อัตราความสำเร็จในครั้งแรกนั้นมีไม่สูงด้วยเช่นกัน ดังนั้นตั้งแต่แรกเขาไม่ได้คิดว่าคนๆนี้จะสามารถขโมยไปได้สำเร็จอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นนิรุตติ์ถึงได้ล็อคเบอร์ไว้ได้เร็วขนาดนี้” นัทธีขมวดคิ้วขึ้นพลางอธิบาย
แววตาของมารุตเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้นท่านหมายความว่า คนๆนี้เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น และยังเป็นหมากที่ถูกนิรุตติ์ทิ้งไปแล้วด้วยใช่ไหมครับ?”
“ใช่” นัทธีพยักหน้าลง
คนที่อยู่บนพื้นได้ยินแล้ว สีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที
เขาเป็นหมากอย่างนั้นหรือ?
“นิรุตติ์ไม่ได้หวังว่าเขาจะสามารถขโมยสิทธิผู้ถือหุ้นไปได้อยู่แล้ว ให้เขามา คงจะเป็นเพียงแค่หยั่งเชิงสถานที่ของหนังสือสิทธิผู้ถือหุ้นเท่านั้น ถ้าหากคนๆนี้หาไม่เจอ นั่นก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาเองก็จะไม่เสียหายอะไรด้วยเช่นกัน แล้วเขาก็จะสามารถจัดการคนต่อไปเพื่อให้ไปหาที่อยู่ของหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นที่อื่นได้” นัทธีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
คนที่อยู่บนพื้นนั้นแทบจะร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว
ดังนั้น เขาถูกวางแผนแล้ว
มารุตเองก็มองเขาอย่างเห็นใจ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นท่านประธานครับ คนๆนี้จะจัดการอย่างไรดีครับ?”
“ส่งไปสถานีตำรวจแล้วกัน” นัทธีโบกมือ “ก่อนหน้านี้คนๆนี้ก็ขโมยข้อมูลทางธุรกิจมาไม่น้อยเหมือนกัน ควรจะได้ชดใช้กับสิ่งที่ได้ทำเอาไว้”
มารุตยิ้มพลางพยักหน้า “ผมทราบแล้วครับ”