พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 515 พวกเขาไม่ใช่หลานของพ่อ
เธอมองสุภัทร“ใครเป็นชู้กับขยานีก่อนที่แม่จะมีหนูในท้อง แล้วคลอดพิชญาออกมา?ใครหย่ากับแม่หนูตอนเจ็ดปีก่อน แถมยังไล่พวกหนูออกจากบ้านอีก ใครหลบหน้าหนู ห้าปีก่อนเป็นใครที่ไม่ยอมให้เงินค่าผ่าตัดศรัณย์ สุภัทร พ่อบอกหนูสิ ระหว่างพวกเราสองคน ใครกันแน่ที่ใจร้าย?”
“พ่อ……” สุภัทรพูดอะไรไม่ออก มีความละอายใจเต็มอก
ไม่ผิดหรอก เขาทำเรื่องพวกนี้จริงๆ
“หม่ามี๊……”เด็กทั้งสองคนรับรู้ได้ว่าวารุณีเสียใจพลันเข้ากอดขาเธอไว้คนละข้าง
วารุณีก้มหน้ามองลูกๆ พลางลูบศีรษะพวกเขา“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ หม่ามี๊ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“อืม อืม”เด็กทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
สุภัทรมองเด็กทั้งสองพร้อมกับเอ่ยว่า“วารุณี พ่อยอมรับว่าไม่ได้เป็นพ่อที่ดี ตอนนี้พ่อสำนึกผิดแล้ว พ่ออยู่ได้ไม่นานแล้ว ดังนั้น……”
“พอแล้ว ไม่ต้องเอาสายเลือดมาอ้างให้หนูให้อภัยพ่อ เมื่อกี้พูดชัดเจนมากแล้ว หนูไม่ให้อภัยพ่อ หนูมาเยี่ยมถือว่าทำดีที่สุดแล้ว”วารุณีโบกมือพลันพูดแทรกเขา
สุภัทรเห็นเธอยังคงมีท่าทางไม่เปลี่ยนแปลง จึงถอนหายใจยาวๆ“ช่างเถอะ ถึงหนูจะไม่ให้อภัยพ่อ แต่เด็กๆล่ะ?”
“อะไร?” วารุณีหรี่ตาขึ้น
เขาหันมาสนใจในตัวเด็กๆหรือ?
“หนูไม่ให้อภัยพ่อ แต่ถึงยังไงลูกทั้งสองคนของหนูก็เป็นหลานของพ่อนะ……”
“เดี๋ยวก่อน พ่อคิดจะนับปู่นับหลานกับเด็กๆเหรอ?”วารุณีมองประเมินสุภัทร
สุภัทรพยักหน้า“ใช่ พ่ออยากยกสมบัติให้พวกเขา”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะยกสมบัติให้ถวิต แต่เป็นตอนที่สุขภาพเขายังไม่ย่ำแย่ ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองจะอายุยืนยาว หากมอบสมบัติให้ถวิต ถวิตจะดูแลเขายามบั้นปลายชีวิต
ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้อายุยืนแล้ว ไม่ต้องการคนมาดูแลชีวิตบั้นปลายอีก เช่นนั้น เงินทองของเขา แทนที่จะให้หลานชายที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่สู้ให้หลานในเลือดเนื้อเชื้อไขจะดีกว่า
“ไม่ต้อง เก็บสมบัติของพ่อไว้เลย ลูกๆทั้งสองคนไม่ต้องการ” วารุณีปฏิเสธอย่างแล้งน้ำใจ
สุภัทรไม่สบอารมณ์“นี่เป็นความคิดของหนู ทำไมไม่ลองถามลูกของตัวเองดูล่ะ?”
“พวกเราไม่เอา” อารัณส่ายหัว “ตาเฒ่า พวกเรามีเงิน”
“ใช่ พวกเรามีเงิน” ไอริณก็คล้อยตาม
สุภัทรรู้สึกเดือดดาลกับคำว่า ตาเฒ่า ใช้ดวงตาอันเหี่ยวย่นจ้องเขม็งอีกฝ่าย “นาย……นายเรียกฉันว่าอะไรนะ?ตาเฒ่าเหรอ?”
“ไม่ถูกตรงไหน?” อารัณเอียงหน้ามองอย่างไร้เดียงสา
แววตาวารุณีมีรอยยิ้มแวบผ่าน
เด็กคนนี้คงจงใจสินะ
“วารุณี” สุภัทรโมโหใส่เด็กไม่ได้ จึงมองวารุณีอย่างกราดเกรี้ยว “เธอสอนลูกอย่างนี้เหรอ นับจากเข้ามาถึงตอนนี้ไม่เคยได้ยินเรียกคุณตาเลย แต่กลับเรียกว่า ตาเฒ่า?”
“ลูกไม่ได้เรียกผิดนี่ สุภัทร อย่าลืมสิ ตอนนั้นบอกว่าไม่ยอมรับหลานนี่ ตอนหนูกลับเข้าประเทศ พ่อยังบอกว่าเป็นลูกสวะด้วย แถมยังไปขู่ลูกๆถึงโรงเรียนอนุบาล คุณตาที่ไม่มีความเมตตา จะว่าหลานไม่กตัญญูได้ยังไง”วารุณีเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
วาจาของเธอทำให้สุภัทรหน้าดำหน้าแดง
เห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักในการกระทำที่ผ่านมาของตัวเองได้
ตอนนั้นเขาไม่ชอบเด็กๆที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อจริงๆ กระทั่งไม่อยากยอมรับเด็กสองคนนี้
ทว่าตอนนี้เขาเสียใจมากมาย
“หม่ามี๊ไปได้หรือยังครับ?” อารัณดึงมือวารุณี
ไอริณก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้วเช่นกัน“หนูก็อยากไปแล้วค่ะหม่ามี๊”
“ได้ค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้” วารุณีส่งยิ้มให้ลูกทั้งสองคน เมื่อเงยหน้าขึ้นรอยยิ้มก็เลือนหาย แทนที่ด้วยใบหน้าเย็นชา “พอแล้ว ในเมื่อตอนนี้พ่อยังไม่ตาย งั้นฉันก็ไปก่อนแล้ว แต่หนูจะมีเยี่ยมบ่อยๆ ถือว่าหนูในฐานะลูกสาวแสดงความกตัญญูส่วนสุดท้าย”
กล่าวจบ เธอจูงมือของลูกๆแล้วเดินไปยังประตู
พอเดินมาถึงหน้าประตู เธอฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ จึงหยุดเท้าแล้วหันหน้ากลับไป “ใช่ศรัณย์ หนูบอกศรัณย์เรื่องพ่อใกล้จะไม่ไหวให้เขารู้แล้ว ตอนนี้ศรัณย์กำลังเดินทางกลับมา เขาก็จะเหมือนหนู จะมาดูพ่อเป็นประจำ แสดงความกตัญญูต่อพ่อครั้งสุดท้าย”
สุภัทรได้ยิน“จริงเหรอ?”
“ใช่ ไม่ว่ายังไง พ่อก็ให้ชีวิตพวกเราสองคน ไม่มีพ่อก็ไม่มีพวกเรา พ่อพาพวกเรามายังโลกแห่งนี้ พวกเราก็ย่อมต้องส่งพ่อตอนพ่อจากโลกนี้ไป แต่นอกเหนือจากนี้ก็จะไม่มี พ่อดูแลตัวเองดีๆแล้วกัน”
วารุณีเปิดประตูพาลูกทั้งสองคนออกไป
ด้านนอกระเบียงทางเดิน นัทธีพิงหลังกับกำแพงอันเย็นซ่าน ขยานียืนพูดกับเขาอะไรบางอย่าง
ทว่าเขาไม่แยแสอีกฝ่าย แค่หลับตาพักผ่อนอยู่อย่างนั้น
“ที่รัก” วารุณีร้องเรียก
ลูกๆก็เรียกคุณพ่ออย่างพร้อมเพรียงกัน
นัทธีได้ยินก็ลืมตาขึ้น แล้วรับลูกทั้งสองคนที่วิ่งมาหา“คุยเสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม” วารุณีพยักหน้าหงึกๆ
“ไปกันเถอะ” นัทธีส่งมือให้ลูกทั้งสองจับ อีกข้างหนึ่งก็ไปจูงมือวารุณี
วารุณีคลี่ยิ้ม“ไปกันเถอะค่ะ”
ทั้งสี่คนเดินผ่านขยานีไปขึ้นลิฟต์ ระหว่างเดินนั้น พวกเขาไม่ได้เหลียวมองขยานีแม้แต่ปราดเดียว เห็นขยานีเป็นอากาศธาตุ คู่กรณีจึงโกรธจนต้องกระทืบเท้า
วารุณีได้ยินเสียงกระทืบเท้า เธอไม่ต้องหันไปมองก็พอจะนึกสีหน้าขยานีในตอนนี้ออก
“ที่รัก หล่อนคุยอะไรกับคุณเหรอ?” หลังจากเข้าลิฟต์แล้ว วารุณีก็ถามขึ้นมา
นัทธีมองตัวบ่งชี้ชั้นลิฟต์ “ถามผมเรื่องพิชญา”
“คุณบอกหล่อนหรือเปล่า?”
“ไม่ได้บอก” นัทธีส่ายหัว
วารุณียิ้มละมุนละไม“อันที่จริงบอกหล่อนก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หล่อนช่วยพิชญาไม่ได้หรอก”
“ผมรู้ แต่ผมไม่อยากคุยกับหล่อน” นัทธีตอบ
ถ้าไม่ต้องรอเธอกับลูกๆ เขาก็จะไปตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้ขยานีพูดกระปอดกระแปดข้างหูหรอก
“คุณคุยอะไรกับสุภัทรบ้าง บอกสาเหตุที่เขาเป็นลมไหม?” นัทธีมองไปยังวารุณี
วารุณีส่ายหน้า“ยังไม่ได้บอกค่ะ ขยานีอยู่ข้างนอกนี่ค่ะ ฉันเลยไม่ได้บอก ไม่ได้ว่าพิชญาไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆด้วยค่ะ ไว้ครั้งหน้าแล้วกันค่ะ”
“อืม” นัทธีพยักหน้าสื่อให้เห็นว่ารู้แล้ว
ไม่นานพวกเขาก็ออกจากโรงพยาบาล
วารุณีได้รับสายจากศรัณย์
ศรัณย์บอกว่ามาถึงสนามบินจังหวัดจันทร์แล้ว
ตอนแรกวารุณีก็อยากไปรับเขา ทว่าไอริณเดินนานไม่ได้ นัทธีจึงให้มารุตไปรับ
วันรุ่งขึ้น ศรัณย์ก็ไปหาสุภัทรที่โรงพยาบาล แต่วารุณีไม่ได้ไป เธอมอบหมายให้ป้าส้มดูแลลูกๆ แล้วตัวเองไปที่บริษัท
ปาจรีย์เห็นเธอกลับก็ดีใจยกใหญ่“วารุณีกลับมาแล้วเหรอ?”
“สุภัทรจะไม่ไหวแล้ว ฉันกลับมาดูเขา” วารุณีวางกระเป๋าถือลงพลันเอ่ยขึ้นมา
ปาจรีย์ตะลึงงัน“พ่อสวะของเธอไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“อืม” วารุณีพยักหน้า
ปาจรีย์หัวเราะคิกคัก“ชีวิตคนเราไม่เที่ยงจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังดีๆอยู่เลย ทำไมตอนนี้จึง……”
“มีคนไม่อยากให้ดีไง” วารุณีลากเก้าอี้มานั่ง
ปาจรีย์มึนงง จากนั้นก็เข้าใจความหมาย เธอจึงอ้าปากกว้าง “วารุณี พ่อสวะของเธอเขา……”
“ชู่ว์!”วารุณียกนิ้วขึ้น พยักเพยิดให้เธอรู้ว่าอย่าพูดออกมา
ปาจรีย์รีบพยักหน้าหงึกๆ“โอ้พระเจ้า มันช็อกมาก”
“อันนี้คือเวรกรรม” วารุณีเปิดคอมพิวเตอร์ พลางกล่าวเสียงเรียบเฉย
ปาจรีย์ทอดถอนหายใจ“ใช่ เวรกรรมตามสนอง แต่ทำไมกรรมยังไม่สนองคนที่ฆ่าพ่อแม่ของพงศกรอีกนะ”