พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 516 ตราสัญลักษณ์อันน่าสะพรึง
เมื่อได้ยินคำนี้ วารุณีตบไปที่ไหล่ของเธอเบาๆ“วางใจเถอะ ต้องมีสักวัน ที่คุณอากับคุณน้าจะพ้นมลทินนี้”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น ” ปาจรีย์ฝืนยิ้มออกมา และหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋า
วารุณีเห็นว่าสิ่งนั้นคือตราสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง ตรานั้นเป็นรูปทรงกลม มีสีดำ และเป็นลวดลายของดาบซามูไร ดูแล้วมันน่าสะพรึงมาก
“ปาจรีย์ นี่เป็นตราอะไร?”วารุณีถามพลางขมวดคิ้ว
ปาจรีย์ยกตราสัญลักษณ์ในมือนั้นขึ้น “เธอหมายถึงอันนี้เหรอ ?”
“อืม”วารุณีพยักหน้า “เจ้าสิ่งนี้ดูไปแล้วน่าสะพรึงและหดหู่มาก เธอมีมันได้ยังไง”
“ฉันเก็บมันได้” ปาจรีย์ตอบกลับ “เก็บได้ในที่เกิดเหตุของพ่อแม่พงศกร ตอนนั้นมันยังมีเลือดติดอยู่ด้วย ตอนหลังฉันก็ทำมันหายไป จนเมื่อวันก่อน ฉันไปรื้อห้องเก็บของก็ถึงได้เจอมันอีก”
“เก็บได้จากที่เกิดเหตุ?”วารุณีหยิบเอาตราสัญลักษณ์นั้นมา “เธอนี่ก็ช่างกล้ามากจริงๆ ของทุกอย่างในที่เกิดเหตุ สามารถเป็นเบาะแสได้ทั้งนั้น เธอจะไปหยิบจับอะไรง่ายๆได้ยังไงกัน ”
“ตอนนั้นฉันเองก็ไม่รู้นี่นา และนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่ฉันไปยังที่เกิดเหตุแล้วเจอมันเข้า เก็บได้ที่ใต้โต๊ะชงชา ตอนนั้นสถานที่เกิดเหตุได้เก็บกวาดทำความสะอาดแล้ว ของนี้เป็นของที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำตกหล่นเอาไว้ ตอนแรกฉันก็กะจะเอามันไปคืนให้กับทางเจ้าหน้าที่อยู่หรอก แต่ก็ลืมจนได้ และไม่รู้จะเก็บมันไว้ที่ไหน”ปาจรีย์ถอนหายใจ
“ของสิ่งนี้ คงไม่ใช่ของคนที่ฆ่าพ่อแม่พงศกรทิ้งเอาไว้หรอกนะ?”วารุณียกตรานั้นขึ้นและมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์
ปาจรีย์ส่ายหัว“ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นของฆาตกร หรือเป็นของพ่อกับแม่ของพงศกร ”
“ถามพงศกรดูซิ”วารุณีคืนตรานั้นให้เธอ“หากเป็นของพ่อแม่เขา เขาก็ต้องรู้ หากเขาบอกว่าไม่ใช่ งั้นก็ต้องเป็นของฆาตกรนั้น ตามวัตถุนี้ ก็จะตามหาตัวฆาตกรได้ ขอแค่เจอตัวฆาตกรคนนั้น ก็จะสามารถล้างมลทินของคุณอากับคุณน้าได้ ”
“ได้……จริงๆเหรอ?”น้ำเสียงของปาจรีย์สั่นไหวเล็กน้อย“ใช้ตรานี้หาตัวฆาตกร มันดูจะเป็นเรื่องเหลวไหลไปหรือเปล่า ?”
“หากเป็นตราสัญลักษณ์อื่น ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตรานี้ ต้องหาเจอได้แน่ๆ ”วารุณีพูดยืนยัน
ปาจรีย์กะพริบตาถี่ๆ “เพราะอะไร ?”
“เธอไม่สังเกตวัสดุของตราสัญลักษณ์หรือเหรอ ? เป็นทองคำดำ การผลิตทองคำดำนั้นพบเห็นได้ยากมาก ราคาค่อนข้างสูง ปรกติเวลาทำพวกเครื่องประดับก็ไม่นิยมใช้ทองคำดำทั้งหมด แต่ตราสัญลักษณ์นี้ ใช้ทองคำดำทั้งหมด นี่หมายความว่ายังไงรู้ไหม มันหมายความว่าตัวตนของผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”วารุณีคิดวิเคราะห์
ดวงตาของปาจรีย์เป็นประกาย“เมื่อสิบปีก่อน ครอบครัวของพงศกรเป็นเพียงครอบครัวธรรมดา ไม่มีทางที่จะซื้อทองคำดำได้แน่ๆ ดูแล้วตรานี้ เป็นของฆาตกร”
“มีความเป็นไปได้สูง คนคนนั้นเก็บตรานี้เอาไว้กับตัวอยู่ตลอด เห็นชัดว่าต้องเคยมีคนเห็นมันมาก่อน หากตามสืบไปในแนวทางนี้ ต้องหาตัวเจอแน่”
“แล้วถ้าหากหาไม่เจอล่ะจะทำยังไง ?”ปาจรีย์รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
สิบกว่าปีแล้ว ที่เธอพยายามที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างครอบครัวของเธอกับพงศกร แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
ดังนั้นเธอจึงกลัวมากจริงๆ ว่าครั้งนี้ก็คงจะทำมันไม่สำเร็จเช่นกัน
“ลองดูสิ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ?”วารุณีรู้ว่าปาจรีย์กำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มแล้วพูดปลอบเธอ“เธอลองถามพงศกรดู ฉันจะลองถามนัทธีให้ด้วย ให้เขาลองสืบหาเรื่องของตราสัญลักษณ์นี้”
ปาจรีย์ขบริมฝีปากแน่น แล้วจึงพยักหน้าให้ในที่สุด “ได้ ฉันจะลองดู ฉันจะโทรหาพงศกร แล้วนัดเขาออกมาคุย”
“ไปเถอะ”วารุณีทำท่าทางส่งกำลังใจไปให้
ปาจรีย์ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
วารุณีเริ่มตรวจดูงานเขียนแบบ ที่พนักงานทยอยส่งกันเข้ามาในช่วงนี้
จนเวลาเที่ยง ปาจรีย์กลับมาแล้ว ดวงตาแดงก่ำ เห็นชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
เมื่อวารุณีเห็นสภาพของเธอ ก็รีบวางปากกาในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน “เป็นอะไรไป?”
“วารุณี……”ปาจรีย์ขบริมฝีปากแน่น แล้ววิ่งเข้ามาหา กอดวารุณีไว้แน่น แล้วร้องไห้ออกมา
วารุณีตบหลังเธอเบาๆ ไม่ได้ถามอะไรอีก ปล่อยให้เธอร้องไห้ตามแต่ใจ
รอจนเธอร้องไห้ได้พอประมาณแล้ว ก็จึงได้ถามขึ้นอีกครั้ง “ปาจรีย์ เกิดอะไรขึ้น?”
“พงศกรเขา……เขา……”ปาจรีย์หายใจเข้าลึก กักเก็บความอยากร้องไห้ที่มี ตอบด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “เขาไม่เชื่อฉัน ขนาดว่าฉันเอาตรานั้นให้เขาดูแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อ ”
เมื่อได้ยินดังนี้ วารุณีก็ลูบไปที่ศีรษะของเธอ“มันแน่นอนอยู่แล้ว เขาคิดมาตลอดว่าการตายของพ่อแม่เขา ต้นเหตุเป็นเพราะครอบครัวของเธอ ดังนั้นต่อให้เธอจะสืบเรื่องของตรานั้นเจอ เขาก็คงจะคิดแค่ว่าเธอกำลังหาข้อแก้ตัวอยู่ เพราะแค่ตรานั้นมันยืนยันความบริสุทธิ์อะไรของพวกเธอไม่ได้ เว้นแต่จะจับตัวฆาตกรนั้นได้ แล้วให้ฆาตกรรับสารภาพเองว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเธอ ไม่งั้นกับพงศกรที่ตกอยู่ในความหมกมุ่นแบบนี้ ทั้งหมดล้วนไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินที่วารุณีพูด ภายในใจของปาจรีย์ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
เธอนั่งลงบนโซฟา วารุณีรินน้ำอุ่นมาให้เธอแก้วหนึ่ง“ถามหรือยังว่าตรานั้นใช่ของพ่อแม่เขาไหม ? ”
“อืม”ปาจรีย์พยักหน้าให้ด้วยอารมณ์ที่ยังไม่คงที่“ ถามแล้ว เป็นอย่างที่เราคาดไว้ ตรานั้นเป็นของฆาตกร ตอนนี้พงศกรเอาตรานั้นไปแล้ว ฉันเดาว่าเขาคงอยากที่จะไปสืบหาเอาเอง ”
“งั้นก็ให้เขาเอาไปสืบเอง เขาเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่อายุน้อยที่สุดในโลก ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเขาก็ย่อมต้องกว้างกว่ามาก หากเขาเอาไปตรวจสอบเองก็น่าจะเร็วกว่าเธอ”วารุณีกล่าว
ปาจรีย์ตอบอืมมาคำหนึ่ง“ฉันรู้ แต่……”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ มือถือของวารุณีก็ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุย
วารุณียิ้มให้อย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา
เป็นสายที่โทรมาจากศรัณย์
วารุณีรีบกดรับสาย“ศรัณย์”
“พี่ แย่แล้ว จู่ๆสุภัทรก็เป็นลมหมดสติไปอีกแล้ว”ปลายสายเป็นเสียงที่ร้อนรนกระวนกระวายของศรัณย์ดังเล็ดลอดเข้ามา
วารุณีขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น ?”
“ผมก็ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าขยานีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อกี้ผมไปซื้อของกินให้สุภัทร ขากลับ เห็นขยานีมีท่าทีร้อนรนรีบกลับไป ผมนึกแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบกลับไปที่ห้องของสุภัทร จากนั้นก็เห็นสุภัทรหมดสติไปแล้ว ”ศรัณย์ตอบ
วารุณีฟังเข้าใจได้ในทันที
ขยานีต้องทำอะไรแน่ๆ
“พี่รู้แล้ว พี่จะไปเดี๋ยวนี้ เรารอพี่อยู่นั้นก่อน ”
“ครับ”ศรัณย์พยักหน้า
วารุณีวางโทรศัพท์ลง“ปาจรีย์ ฉันจะไปโรงพยาบาลก่อน”
“ไปเถอะ”ปาจรีย์ยิ้มให้
บทสนทนาเมื่อครู่เธอก็ได้ยินแล้ว แม้ว่าเพื่อนของเธอจะไม่อยากเจอพ่อที่มีนิสัยแย่ๆอย่างสุภัทร
แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เพื่อนของเธอก็จึงต้องไปดู
วารุณีไปแล้ว ขับรถมุ่งไปยังโรงพยาบาล
ตอนที่มาถึง สุภัทรไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแค่ยังไม่ฟื้นเท่านั้น
วารุณียืนมองเขาอยู่ที่ข้างเตียง“ หมอว่ายังไงบ้าง ? ”
“บอกว่าเขามีความดันโลหิตสูง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร” ศรัณย์ตอบ
วารุณีพยักหน้า“อืมพี่รู้ล่ะ”
ในตอนนี้เอง ประตูห้องของผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก มีร่างของนัทธีเดินเข้ามา
“พี่เขย”ศรัณย์เอ่ยทักทายเขา
เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย ถือเป็นการตอบรับ จากนั้นก็มองไปที่วารุณี“ ผมจับตัวปวิชไว้แล้ว ”
“ทำไมถึงจับตอนนี้เลยล่ะ ? ”วารุณีถาม
“คนที่เฝ้าปวิชอยู่รายงานว่า เห็นปวิชรับโทรศัพท์สายหนึ่ง จากนั้นก็เก็บข้าวของ จองตั๋วเครื่องบินออกนอกเมืองด้วย เดาว่าน่าจะกำลังคิดหนี ผมจึงได้สั่งให้ควบคุมตัวเอาไว้”นัทธีมองไปยังสุภัทรแล้วพูดออกมา
วารุณีหลุบตาลง “ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าเขาเป็นลมหมดสติไปได้ยังไง ขยานีคงติดต่อกับปวิชในห้อง แล้วเขาก็คงได้ยินเข้า จึงได้ความดันสูงขึ้นมา”
สักพัก เธอก็พูดขึ้นอีกว่า“ขยานีไม่กล้าจัดการกับสุภัทรให้จบเรื่องที่โรงพยาบาล ดังนั้นจึงได้รีบร้อนหนีไป ขณะเดียวกันก็บอกให้ปวิชรีบหนีด้วย เพราะพวกเขารู้ว่า หากสุภัทรฟื้นขึ้นมา คงไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้แน่”
“แบบนี้นี่เอง ”ศรัณย์เข้าใจได้ในทันที“ ตอนที่ผมออกไปซื้อของให้สุภัทร สุภัทรยังไม่ตื่น ตอนที่ขยานีเข้ามา คงเห็นว่าสุภัทรยังไม่ฟื้น คิดว่าโทรหาปวิชก็คงไม่เป็นอะไร ไม่คิดว่า จะปลุกสุภัทรให้ตื่น ทำให้สุภัทรรู้เรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของเธอกับปวิช