พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 536 ไหว้บรรพบุรุษ
“คุณมาได้ไงคะ” เมื่อผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาถึง วารุณีจึงเอ่ยถามขึ้น
นัทธีอมยิ้ม “ผมไปรับคุณที่บริษัท แต่คุณไม่อยู่และผมก็ติดต่อคุณไม่ได้ ผมเลยให้อารัณหาตำแหน่งของคุณจากเบอร์มือถือ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะอยู่ที่นี่”
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่นี่สัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี คุณเลยโทรมาไม่ติด” วารุณีหยิบมือถือออกมาแล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิด
นัทธีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ผมรู้ ว่าแต่คุณมาหาขยานีเหรอ”
“ค่ะ เธออยากพบฉัน ฉันเลยแวะมาสักหน่อย” วารุณีพยักหน้า
“จะกลับรึยัง” นัทธีถามขึ้นอีก
วารุณีตอบตกลง
นัทธีไม่ได้ถามเธอว่ามาคุยอะไรกับขยานี เพราะเขาไม่อยากรู้ ได้แต่โอบเอวของเธอแล้วพาเธอเดินไปที่รถ
ปาจรีย์เรียกคนทั้งสอง “ประธานนัทธี วารุณี ฉันไม่ไปกับพวกคุณแล้วนะคะ ไม่รบกวนแล้วค่ะ”
นัทธีส่งสายตา “รู้งานดีมาก” กลับไปให้เธอ
วารุณีเห็นอย่างนั้นก็ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ได้แต่หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ปาจรีย์ “ขับรถฉันกลับไปละกัน”
“โอเค” ปาจรีย์รับกุญแจมาพร้อมรอยยิ้มและพยักหน้า
จากนั้นวารุณีกับนัทธีก็ขับรถออกไป
ระหว่างทาง วารุณีหันไปมองเขา “คุณมาหาฉันที่บริษัทมีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
“อ่อ วันนี้เป็นวันไหว้ไงล่ะ ผมจะพาคุณไปไหว้บรรพบุรุษน่ะ” นัทธีตอบ
วารุณีตบหน้าผากตัวเอง “ฉันนึกออกแล้ว เมื่อวานป้าส้มบอกฉันแล้ว แต่ฉันดันลืมซะได้ ขอโทษด้วยนะคะ ฉัน……”
“ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เป็นแค่การพิธีเล็กๆ ไม่ใช่พิธีใหญ่ จริงๆ ไม่ไปยังได้เลย อีกอย่างผมก็มารับคุณแล้วนี่ไง” นัทธีตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วารุณีเสยผม “ขอบคุณค่ะ”
“พวกเราไปที่คฤหาสน์ไชยรัตน์กันเถอะ อารัณกับไอริณล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ป้าส้มกับมารุตคอยอยู่ดูแลเด็กๆ อยู่ที่นั่น” นัทธีกล่าว
วารุณีได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับรู้
ผ่านไปรวดเร็ว ก็มาถังคฤหาสน์ไชยรัตน์
เมื่อเด็กทั้งสองได้ยินเสียงรถก็รีบวิ่งออกมาจากด้านในเพื่อมาหาคนทั้งสอง “ปะป๊า หม่ามี๊ ถึงแล้วหรอฮะ”
นัทธีก้มลงไปอุ้มไอริณ “เป็นเด็กดีรึเปล่า”
“เป็นค่ะ ไอริณเป็นเด็กดี คุณย่าส้มไม่ให้พวกเราวิ่งเกะกะ พวกเราก็ไม่วิ่ง ปะป๊า หนูเก่งไหมคะ” ไอริณยิ้มสดใสให้เขา เผยให้เห็นฟันกระต่ายที่ทั้งน่ารักและน่าขำ
นัทธีหอมแก้มเธอหนึ่งที “อื้ม ไอริณเก่งมากเลย”
“ฮ่าๆๆ” ไอริณกอดคอนักทธีเอาไว้แล้วยิ้มอย่างร่าเริง
เวลาผ่านมาหลายวันแล้ว ไอริณอาการดีขึ้นไม่น้อยแล้ว นอกจากแขนที่ยังยืดไม่ได้มากนัก รอยแผลบนศีรษะแห้งไปแล้ว จึงสามารถกลับมาวิ่งเล่นได้เหมือนเดิมแล้ว
ช่วงเวลาเช่นนี้คือช่วงเวลาที่วารุณีมีความสุขที่สุด
“เอาล่ะ เข้าไปด้านในกัน” วารุณีจูงมืออารัณแล้วหันไปพูดกับสองพ่อลูกอย่างอบอุ่น
นัทธีเงยหน้า “ไป เข้าไปกันเถอะ”
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปยังคฤหาสน์ไชยรัตน์
เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ป้าส้มกับมารุตก็ทักทายนัทธี
นัทธีอุ้มไอริณแล้วนั่งลง “ผู้หญิงคนนั้นล่ะ”
วารุณีเองก็ดึงอารัณให้นั่งลงเช่นกัน
เธอรู้ว่าคำว่า “ผู้หญิงคนนั้น” หมายถึงคุณหญิงอัณณ์
แม้ว่าขงเบ้งจะโดนจับไปแล้ว แต่คุณหญิงอัณณ์ยังอยู่
นัทธีได้ตามสืบมาเรียบร้อยแล้วว่า คุณหญิงอัณณ์แค่เลี้ยงลูกสุนัขจิ้งจอกไว้ข้างนอก แต่ไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายอย่างอื่น และยิ่งไม่ได้ข้องเกี่ยวกับคดีที่ขงเบ้งฆ่าพ่อแม่ของตน
ดังนั้นนัทธีจึงไม่ได้ทำให้เธอลำบากอะไรมาก เพียงแค่กักบริเวณเธอไว้ในคฤหาสน์ไชยรัตน์และห้ามออกไปไหนเท่านั้น
เมื่อขงเบ้งตายไปแล้วเท่านั้น เขาถึงจะปล่อยเธอออกมา
“อยู่ในห้องค่ะ ฉันกลัวว่าเธอจะทำร้ายเด็กสองคน เลยให้บอดี้การ์ดพาเธอกลับเข้าไปในห้อง” ป้าส้มตอบ
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย “ดี”
“พ่อจ๋า พวกเราต้องไปจุดธูปไหว้คุณปู่คุณย่าใช่ไหมคะ” ตอนนั้นเอง ไอริณถามเขาขึ้นมา
วารุณีลูบผมของเธอ “หนูรู้ได้ยังไงจ๊ะ”
“พี่ชายเป็นคนบอกค่ะ พี่บอกว่าไหว้บรรพบุรุษคือการจุดธูปไหว้ผู้ใหญ่ที่ไม่อยู่กับเราแล้ว” ไอริณตอบ
นัทธีตอบกลับอย่างเอ็นดู “ถูกต้อง ไปกันเถอะ พ่อจะพาพวกหนูไปหาคุณปู่คุณย่า ถ้าพวกเขาเห็นพวกหนูต้องดีใจแน่ๆ”
“โอเคฮะ” เด็กทั้งสองกระโดดลงจากโซฟาแล้วยิ้มอย่างดีใจ
นัทธีจูงมือวารุณีแล้วพาพวกเขาเข้าไปในศาลบรรพชน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพาภรรยากับลูกมาไหว้บรรพบุรุษ และเป็นครั้งแรกที่เด็กสองคนได้เจอพ่อกับแม่ของเขา
เพราะก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกของเขา เขาเลยไม่ได้พาเด็กๆ มาด้วย พาแต่วารุณีเข้ามาเพียงคนเดียว
แต่คราวนี้ พวกเขามากันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว
กว่าจะทำพิธีไหว้บรรพบุรุษเสร็จก็กินเวลาไปสองชั่วโมง
นัทธีกับวารุณีพาเด็กทั้งสองเดินออกมาจากศาลบรรพชน
มารุตยืนรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสี่คนเดินออกมาจึงรีบเข้าไปหา “ท่านประธาน”
“มีอะไรรึ” นัทธีถามเสียงเรียบ
มารุตถอนใจ “คุณหญิงอัณณ์โวยวายอยากพบท่านประธานครับ”
“พบฉัน?” นัทธีหรี่ตา
มารุตพยักหน้า “ใช่ครับ เหมือนมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดครับ”
เมื่อเห็นคิ้วของนัทธีขมวดแน่น วารุณีจึงรับไอริณที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาออกมา “ในเมื่อเธออยากพบก็ไปพบเธอสักหน่อยสิคะ เพื่อเธอมีเรื่องวำคัญอะไรอยากจะพูด”
“ตกลง ผมจะไป ให้มารุตพาพวกคุณไปพักผ่อนในห้องเก่าของผมก่อนก็ได้”
วารุณีพยักหน้า “ค่ะ ไปกันเถอะ บ๊ายบายปะป๊าเร็ว”
เธอมองไปที่เด็กทั้งสอง
เด็กทั้งสองโบกมือน้อยๆ อย่างว่าง่าย “บ๊ายบายปะป๊า”
“รีบไปรีบกลับนะคะ พวกเรากับหม่ามี๊รออยู่” อารัณกล่าวอีกประโยค
นัทธีมองแม่ลูกสามคนอย่างไม่อยากจะจากไป แล้วพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “โอเค พ่อจะรีบกลับ”
กล่าวจบ เขาก็เดินมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
มารุตมองวารุณี “คุณหญิง ให้ผมช่วยอุ้มสักคนไหมครับ”
เขายื่นมือออกมา แล้วมองไปทางไอริณ
ลูกของท่านประธานทั้งสองคนน่ารักมาก เขาคิดมานานแล้วว่าอยากลองอุ้มสักครั้ง แต่เสียดายที่ไม่เคยมีโอกาส
ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว เขาไม่อยากจะพลาดไปอีก
วารุณีดูออกว่ามารุตอยากอุ้มเด็กจึงรู้สึกขบขัน “อยากอุ้มเด็กขนาดนี้ ทำไมไม่แต่งงานมีลูกสักคนหนึ่งเลยล่ะ”
มารุตยิ้มอย่างเคอะเขิน “ขนาดแฟนผมยังไม่มีเลยครับ แล้วจะให้แต่งงานมีลูกได้ยังไง”
“ไม่มีแฟนก็รีบหาสิ” วารุณีกล่าวอีก
มารุตเกาศีรษะ “แฟนไม่ได้หากันง่ายๆ นะครับ วันหลังค่อยว่ากันดีกว่า คุณหญิง ให้ผมช่วยอุ้มไอริณกับอารัณเถอะครับ”
“ได้สิ แต่ฉันขอถามสองคนนี้ก่อน”
วารุณีก้มหน้าลงแล้วมองอารัณที่อยู่ข้างๆ แล้วหันไปมองไอริณที่อยู่ในอ้อมอก “เด็กๆ ใครอยากให้ลุงมารุตอุ้มบ้าง”
“ผมไม่เอา ผมโตแล้ว ไม่ต้องให้ใครอุ้มแล้ว อุ้มไอริณเถอะ” อารัณทำท่าโบกไม้โบกมือราวกับเป็นผู้ใหญ่
ไอริณชอบให้คนอุ้มจึงรีบพยักหน้าตกลง จากนั้นจึงเข้าไปในอ้อมกอดของมารุต “ลุงมารุตอุ้มหน่อย”
ดวงตาของมารุตเป็นประกาย จากนั้นรีบยื่นมือออกไปรับเด็กน้อยเอาไว้
ระหว่างทางไปยังห้องพัก มารุตอุ้มไอริณเดินอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าสองคนนี้คุยอะไรกันถึงหัวเราะกันคิกคักตลอดทาง
วารุณีจูงมืออารัณเดินอยู่ด้านหน้า โดยคอยหันไปมองอยู่เรื่อยๆ เธอเองก็อดรู้สึกขำไม่ได้เช่นกัน
ดูแล้วเธอต้องเตือนนัทธีหน่อยแล้วว่าควรให้มารุตได้ไปพักผ่อนหาแฟนบ้าง เพราะตอนนี้อายุเขาก็เข้าสามสิบปีแล้ว
อีกด้านหนึ่ง นัทธีเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์
คุณหญิงอัณณ์ยืนอยู่ตรงประตู โดยมีบอดี้การ์ดด้านนอกขวางเธอเอาไว้ ทำให้เธอเดินออกมาไม่ได้
นัทธียืนอยู่ตรงข้ามกับเธอ และมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “มีเรื่องอะไรถึงตามผมมา”