พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 543 มรดกของขงเบ้ง
นัทธีบีบคลึงดั้งจมูก “ไม่มีอะไรแล้ว เอาล่ะ ที่ผมอยากรู้ ก็รู้เกือบทั้งหมดแล้ว คุณทำตัวให้ดีๆ ล่ะ”
เขาหันตัว กำลังจะจากไป
ทันใดนั้นขงเบ้งพลันตะโกนเรียกเขา “นัทธี ฉันเป็นลุงของแกนะ ลุงแท้ๆ!”
นัทธีเอียงหน้ามามองเขาอย่างเย็นชา “แล้วยังไง”
“แกปล่อยฉันไปสักครั้งนะ ฉันไม่อยากตาย ฉันติดคุกตลอดชีวิตก็ได้ แต่ฉันไม่อยากตาย ฉัน……”
“ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ของผมก็ไม่อยากตาย” นัทธีขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
ขงเบ้งสำลัก อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีเสียงออกอยู่เป็นเวลานาน
นัทธีพูดอีกครั้ง “แต่สุดท้ายคุณพ่อคุณแม่ของผมก็ยังต้องตาย ถูกคุณฆ่า ตอนนี้คุณบอกกับผมสิ คุณเป็นลุงแท้ๆ ของผม อยากให้ผมเห็นแก่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดแล้วละเว้นชีวิตคุณ ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่ของผมล่ะ พวกเขาไม่ใช่น้องชายแท้ๆ และน้องสะไภ้คุณเหรอ คุณเคยเห็นแก่ความสัมพันธ์แล้วละเว้นชีวิตพวกเขาหรือเปล่าล่ะ”
“ฉัน……” ขงเบ้งตอบไม่ได้
นัทธีเม้มริมฝีปากบาง “เพราะฉะนั้น คุณลงไปไถ่บาปให้คุณพ่อคุณแม่ของผมซะเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็ไม่อยู่อีก ออกจากห้องเยี่ยมผู้ต้องขังไปทันที
กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ เป็นเวลาบ่ายแล้ว
วารุณีได้ยินเสียงรถ รู้ว่านัทธีอาจจะกลับมาแล้ว จึงวางหนังสือออกแบบในมือลง เตรียมออกไปต้อนรับ
ปรากฏว่าเพิ่งเดินออกไปแค่เฉลียงทางเดิน ก็เห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอ” วารุณียิ้มและพูดกับชายหนุ่ม
นัทธีสลายความรู้สึกหดหู่ในใจทิ้งไป แววตากลายเป็นอ่อนโยน “ผมกลับมาแล้ว”
“ขอต้อนรับกลับบ้าน” วารุณีโน้มตัวลงหยิบเอาสลิปเปอร์ให้เขา
นัทธีเปลี่ยนรองเท้า จูงมือเธอเข้าไปในห้องนั่งเล่น “ลูกล่ะ”
“เพิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วผล็อยหลับไป ศรัณย์ไปคฤหาสน์ตระกูลศรีสุขคำ เก็บสิ่งของที่คุณพ่อทิ้งไว้ดูต่างหน้า ดูว่ามีส่วนที่บริจาคได้ไหม” วารุณีตอบ
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่าทราบแล้ว
ขณะนั้นเอง ป้าส้มนำน้ำเข้ามาสองแก้ว ให้ทั้งสองคนละแก้ว
“คุณผู้ชายคะ ตอนนี้ขงเบ้งเป็นยังไงบ้าง” ป้าส้มถาม
นัทธีที่มีสีหน้าอ่อนโยนพลันหายไป เมื่อดื่มน้ำแล้วจึงพูดน้ำเสียงบางเบาว่า “คุณป้าสะไภ้หย่ากับเขาแล้ว สภาพเขาก็ไม่ค่อยดี”
“หึ นั่นคือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ” ป้าส้มพูดน้ำเสียงเย็นชา
วารุณีบีบมือของชายหนุ่ม “พรุ่งนี้พิจารณาคดีครั้งสุดท้ายตอนไหนเหรอ”
“บ่ายสองโมง” นัทธีวางแก้วแล้วเอ่ยตอบ
วารุณียิ้ม “ถึงตอนนั้นพวกเราไปด้วยกันนะ”
“อืม” นัทธีพยักหน้า
วันต่อมา การพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายของขงเบ้งมาถึงแล้ว
วารุณีกับนัทธีเข้าร่วมการพิจารณาขั้นสุดท้าย คุณหญิงอัณณ์ก็มาด้วย
วารุณียังค่อนข้างแปลกใจ
อย่างไรก็ดีตามที่คุณหญิงอัณณ์ได้พูดเอง ว่าดีร้ายอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันหนึ่งหน จึงมาส่งขงเบ้ง
เพราะถึงย่างไรเธอก็เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้ขงเบ้ง
นัทธีก็ไม่ได้ไล่คุณหญิงอัณณ์ และตามคุณหญิงอัณณ์ไป
ตอนนี้คุณหญิงอัณณ์ไม่ใช่คนของตระกูลไชยรัตน์อีกแล้ว เขาจะไปออกคำสั่งกับคนนอกก็คงไม่ดี
ไม่นาน การพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายเริ่มขึ้น
ขงเบ้งถูกนำตัวขึ้นมา
เห็นท่าทางของขงเบ้งในเวลานี้ วารุณีก็ไม่แปลกใจสักนิด เพราะว่าเธอเคยเห็นท่าทางของชยานีในตอนนั้นแล้ว มันเหมือนกับขงเบ้งในเวลานี้ไม่มีผิด ชราภาพ หวาดกลัว และอีกมากมาย……
ขงเบ้งก็เห็นนัทธีกับวารุณีแล้ว อ้าปากพะงาบๆ เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และถูกนำตัวไปยังที่นั่งของนักโทษ
การพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายนี้ กินเวลาประมาณสามชั่วโมง ก่อนจะสิ้นสุดลง
ขงเบ้งถูกตัดสินประหารชีวิต
ถึงแม้ว่าจะรู้ผลอยู่แล้ว แต่เมื่อนัทธีได้ยินจริงๆ มือใหญ่ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
วารุณีที่นั่งอยู่ข้างเขา โดยธรรมชาติแล้วก็รู้สึกได้ จึงเอามือวางบนมือเขาแผ่วเบา “สามี ยินดีด้วยนะ ศัตรูน้อยลงไปคนหนึ่งแล้ว”
เธอไม่ได้พูดว่าในที่สุดเขาก็แค้นให้พ่อแม่สำเร็จ
เพราะขงเบ้งไม่ใช่ฆาตกรเพียงคนเดียว ยังมีนวิยาอีกคน
รอกระทั่งนวิยาถูกประหารชีวิตเมื่อไร นั่นถึงจะถือว่าเป็นการแก้แค้นให้พ่อแม่ได้สำเร็จอย่างแท้จริง
ริมฝีปากบางของนัทธียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ขอบคุณนะ แล้วของขวัญของผมล่ะ”
“หืม?” วารุณีเลิกคิ้ว
นัทธีมองเธอ “ครั้งก่อน หลังคำพิพากษาของชยานี ผมส่งรถขนกุหลาบให้เป็นของขวัญ คุณบอกว่ารอขงเบ้งถูกตัดสินแล้วจะเตรียมของขวัญให้ผม เพราะงั้น ไหนล่ะของขวัญของผม”
วารุณีคิดไม่ถึงว่าเขาจะจำได้ชัดเจนขนาดนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงเข้าไปอีก ว่าเขาแทบรอไม่ไหวจนต้องทวงถามเธอตอนนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก
“วางใจเถอะ จะไม่น้อยไปกว่าของคุณแน่นอน แต่ต้องรออีกสองสามวันถึงจะเอาให้คุณได้ เพราะยังเหลือนิดหน่อยที่ยังไม่เสร็จดี” วารุณีพูด
นัทธีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไม่น้อยก็ดี”
“แล้วถ้าฉันไม่ได้เตรียมไว้ให้จริงๆ ล่ะทำยังไง” วารุณีดวงตาวิบวับ จู่ๆ ก็เอ่ยถาม
นัทธียิ้มบาง “ไม่ได้เตรียมให้ก็ไม่เป็นไร เพราะของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผม ก็คือคุณเอาตัวเองมาให้ผมก็พอแล้ว”
วารุณีไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะพูดอะไรเสี่ยวๆ แบบนี้ ใบหน้าจึงแดงเรื่อ “เอาล่ะ ขงเบ้งถูกพาตัวออกไปแล้ว อยากไปดูเขาเป็นครั้งสุดท้ายไหม”
นัทธีมองขงเบ้งที่ถูกนำตัวออกไปตามช่องทาง ด้วยสายตาหม่นแสง “ไม่ต้องหรอก ที่ควรพูด ก็พูดหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเจอกันอีก ไปเถอะ”
“ได้” วารุณีส่งเสียงตอบ จับแขนของเขาลุกขึ้นจากที่นั่งผู้ชมในศาล
ออกจากศาล วารุณีเห็นรถตำรวจจอดอยู่ไม่ไกล
ขงเบ้งถูกผู้คุมเรือนจำกำลังพาขึ้นรถ
เหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของวารุณี ขงเบ้งจึงมองมา
วารุณีดึงแขนของนัทธี “นัทธี เขากำลังมองพวกเรา”
“ผมรู้” สายตานัทธีเผชิญกับเขาด้วยความนิ่งสงบ
มองกันอยู่ประมาณสิบวินาที ก่อนที่นัทธีจะถอนสายตากลับ แล้วดึงวารุณีไปอีกด้าน
ตอนที่เดินไป วารุณียังหันหน้ากลับไปมองอีกสองครั้ง
ทั้งสองครั้งยังคงเห็นขงเบ้งจ้องมองพวกเขา
สายตาแบบนั้นทำให้เธองุนงงสับสน
ตามหลักแล้ว นัทธีส่งเขาขึ้นศาลด้วยตัวเอง เขาควรจะแค้นพวกเขามากถึงจะถูก
แต่เธอกลับไม่เห็นความแค้นเคืองในสายตาของขงเบ้งแม้แต่น้อย มีก็แต่เพียงความซับซ้อนอ่านยาก
เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรขงเบ้งถึงเป็นแบบนี้ และก็ไม่ได้เก็บมาคิด
เพราะไม่ได้มีความหมายอะไร ขงเบ้งถูกตัดสินแล้วว่าต้องตาย สำหรับคนที่กำลังจะตาย ทำไมต้องคิดให้มาก
คิดมาถึงตรงนี้ วารุณีจึงหันหน้ากลับไป ไม่สนใจอีก
ส่วนด้านหลัง ขงเบ้งก็ถอนสายตากลับไปเช่นกัน ปล่อยให้ผู้คุมเรือนจำเข็นเขาขึ้นรถตำรวจ
สามวันต่อมา ขงเบ้งถูกประหารชีวิต
และเป็นตระกูลจามจุรีศิลป์ที่ยื่นมือเข้ามาจัดการ
นัทธีกังวลว่าถ้าจัดการในปีหน้า นิรุตติ์จะยื่นมือเข้ามายุ่ง
แม้ว่านิรุตติ์จะไม่ได้มีความรู้สึกต่อขงเบ้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นพ่อผู้ให้กำนิด ใครจะรู้ว่าจู่ๆ นิรุตติ์จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ครอบครัวแล้วพยายามช่วยขงเบ้งหรือไม่
ดังนั้นนัทธีจึงให้ตระกูลจามจุรีศิลป์ยื่นมือเข้ามาจัดการ ดำเนินการแต่เนิ่นๆ ให้เหมือนกับตอนชยาณี
หลังจากขงเบ้งตาย คุณหญิงอัณณ์ก็ออกจากจังหวัดจันทร์ กลับไปยังเมืองที่ครอบครัวของเธอตั้งรกราก
นี่คือสิ่งที่มารุตบอก
ช่วงเวลานี้ แม้ว่าคุณหญิงอัณณ์ไม่ใช่คนของตระกูลไชยรัตน์แล้ว แต่นัทธียังคงส่งคนไปจับตาดูเธอ
ฉะนั้นมารุตถึงได้รู้ว่าคุณหญิงอัณณ์จากไปแล้ว
“ท่านประธาน เกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหมดในชื่อขงเบ้ง ผมลงรายการเสร็จสิ้นแล้ว นี่คือสรุปทั้งหมด คุณดูสิครับ” ในห้องนั่งเล่น มารุตยื่นกองเอกสารให้นัทธี
หลังจากนัทธีรับมา วารุณีที่อยู่ข้างๆ ก็เข้ามาดูกับเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
เห็นสินทรัพย์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กข้างต้น ก็อดไม่ได้ที่จะอุทาน “มากมายขนาดนี้ เยอะกว่าทรัพย์สินของสุภัทรหลายสิบเท่าเลย”
นัทธีพลิกเปิดเอกสารพลางอธิบายว่า “ปีนั้นหลังจากที่คุณปู่ยกไชยรัตน์กรุ๊ปให้คุณพ่อ ก็เอาทรัพย์สินถาวรทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ชื่อ ของเก่าโบราณ เครื่องประดับเพชรทอง เงินสด ทั้งหมดมอบให้ขงเบ้ง ถ้าแปลงทั้งหมดนี้เป็นเงินสด ก็เท่ากับหนึ่งในสามของมูลค่าตลาดของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป”
“โอ้ว……” วารุณีสูดลมหายใจ “หนึ่งในสามของมูลค่าตลาดของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ไม่ใช่ว่าเป็นสามหมื่นล้านดอลลาร์เลยเหรอ”