พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 552 ใครเป็นพนักงานส่งพัสดุ
“อื้ม นอกจากคนพวกนั้นก็ไม่มีใครแล้ว แต่ว่าเธออย่าถามแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ เธออย่ารู้จะดีกว่า” วารุณีตบไหล่ของเธอ
เชอรีนพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว แต่ว่าเรื่องนี้จะจัดการยังไง?”
นิ้วมือที่สั่นของเธอชี้ไปทางกล่องกระดาษที่อยู่ไม่ไกล
กล่องกระดาษนั้นคว่ำอยู่ หลังจากที่เธอเห็นสิ่งของข้างในแล้ว ได้รับความตกใจจนโยนออกไปแบบนั้น
แต่ว่าโชคดีที่ของด้านในไม่ได้ตกออกมา ไม่เช่นนั้นจะน่าตกใจกว่า
วารุณีมองดูกล่องกระดาษ ขมวดคิ้วแน่น “ให้สาวใช้มาจัดการ และตรวจกล้องวงจรปิดด้วย ดูว่าเป็นใครกันแน่ และนำของมาใส่ในตู้จดหมายเมื่อไหร่”
เชอรีนอื้มไปคำหนึ่ง “ได้ ฉันไปเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากพูดจบ เธอก็เข้าไปในวิลล่าอย่างรวดเร็ว
วารุณีไม่ได้ไป แต่กลับยืนอยู่ที่เดิมมองไปรอบๆ หลังจากที่เห็นว่ารอบๆ ข้างไม่ได้มีจุดน่าสงสัยอะไร จึงจะหันหลังแล้วเดินกลับวิลล่า
ในไม่ช้าสาวใช้ก็จัดการกับพัสดุนี้จนเรียบร้อย ในขณะเดียวกันก็ได้ทำการฆ่าเชื้อทั้งด้านในและด้านนอกของวิลล่า
เชอรีนและวารุณีจึงจะรู้สึกโล่งใจไปที
ขณะนี้ สาวใช้ถือโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งมา วางลงตรงหน้าของวารุณี “คุณนาย นี่คือกล้องวงจรปิดนอกวิลล่าค่ะ หนูได้เลื่อนออกแล้วค่ะ คุณนายลองดูนะคะ”
วารุณีพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันรู้แล้ว เธอไปที่สถานีตำรวจ แล้วแจ้งความเรื่องพัสดุเมื่อกี้หน่อย”
พอเป็นเช่นนี้ หากครั้งหน้ายังมีพนักงานส่งพัสดุแบบนี้มาอีก หลังจากจับคนได้แล้ว โทษของคนคนนั้นก็จะหนักกว่าเดิม
“ได้ค่ะ” สาวใช้ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง แล้วไปทำตามคำสั่ง
วารุณีนำโน้ตบุ๊กขยับมายังตรงกลางของตัวเองและเชอรีน จากนั้นจึงจะคลิกเปิดกล้องวงจรปิด
ในกล้องวงจรปิดเห็นเชอรีนพาเด็กสองกลับมาจากสนามบินไม่นาน ก็มีพนักงานส่งพัสดุใส่เสื้อสีฟ้าปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิด
เห็นเพียงแต่พนักงานส่งพัสดุคนนั้นเปิดกล่องจดหมายใหญ่ตรงข้างนอกวิลล่า หยิบพัสดุเมื่อกี้ออกมาจากหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใส่เข้าไปในกล่องจดหมาย จากนั้นก็ปิดกล่องจดหมายแล้วจากไป
คลิปมาถึงตรงนี้ก็จบแล้ว
เชอรีนพูดด้วยความสงสัย “ทำไมถึงเป็นพนักงานส่งพัสดุคนนี้”
“เธอรู้จักเขา?” วารุณีมองเธอ
เชอรีนอื้มไปคำหนึ่ง “รู้จัก ฉันจองแฟชั่นรายสัปดาห์ไว้ไม่ใช่เหรอ ในทุกๆ วันจันทร์ เขาจะนำแฟชั่นรายสัปดาห์ของฉันใส่ไว้ในกล่องจดหมาย อีกอย่างเขาก็เป็นคนรับผิดชอบส่งพัสดุในเขตวิลล่านี้ ทำงานที่นี่มาหลายปี พูดตามหลักแล้ว เขาน่าจะไม่ทำเรื่องกลั่นแกล้งแบบนี้”
“ดังนั้นผลลัพธ์ชัดเจนมากแล้ว เขาก็แค่ช่วยส่งพัสดุ แต่ก็ไม่รู้ว่าในพัสดุคือสิ่งของอะไร” วารุณีเม้มปากแล้วพูด
เชอรีนยิ่งสงสัยไปใหญ่ “แต่ว่าบนพัสดุ ต้องมีข้อมูลของผู้ส่งพัสดุ แต่ว่าพัสดุเมื่อกี้ไม่มี เขาก็ช่วยคนอื่นส่งมา เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านี่ทำผิดกฎ”
“สำหรับจุดนี้เป็นเพราะสาเหตุอะไร เชิญคนมาถามก็ได้แล้ว” วารุณีหรี่ตา
เชอรีนพยักหน้า “พูดถูก ฉันติดต่อกับบริษัทเขาเดี๋ยวนี้เลย ให้เขาเข้ามา”
พูดจบ เชอรีนก็ลุกขึ้นไปคุยโทรศัพท์
เธอพึ่งเดินไป วารุณีก็ได้รับคำเชิญวิดีโอคอลจากนัทธี
เวลานี้ในประเทศน่าจะเที่ยงคือ เขาหาเธอตอนเที่ยงคืน ดูเหมือนว่าเรื่องพัสดุเมื่อกี้ เขาจะรู้แล้ว
ถอนหายใจ วารุณีรับสายวิดีโอคอล
ในวิดีโอคอล ผู้ชายสวมชุดนอนสีดำ พิงอยู่บนหัวเตียงด้วยสีหน้าที่มืดมน เอ่ยปากถามว่า “พัสดุนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
“บอดี้การ์ดเป็นคนบอกนายเหรอ?” วารุณีถามกลับไม่ตอบ
นัทธียกคางขึ้น “ใช่”
เขายังหลับอยู่ในฝัน ได้รับโทรศัพท์ที่บอดี้การ์ดโทรมา บอกกับเขาว่า วารุณีได้รับพัสดุที่น่าขยะแขยง ตกใจไปไม่น้อยเลย
ดังนั้น เขาจึงรีบวิดีโอคอลมาถาม
วารุณีนวดระหว่างคิ้ว “มีคนตั้งใจแกล้งฉัน”
“ใคร?” นัทธีขมวดคิ้ว “นิรุตติ์หรือนวิยา?”
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เขาคิดไปในทางเดียวกับเธอแล้ว
ต่างก็สงสัยว่าเป็นสองคนนี้
วารุณีส่ายหัว “ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นพวกเขาหรือเปล่า แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูง”
ทั้งเมืองนี้ ศัตรูของเธอมีไม่มาก
พิชญา นิรุตติ์ นวิยา
พิชญาถูกขังอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ บนตัวก็ไม่มีเงิน ดังนั้นไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้
งั้นก็มีเพียงแต่นิรุตติ์และนวิยาแล้ว ทว่าตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน หลักฐานยืนยันว่าเป็นพวกเขาหรือเปล่า
“ในพัสดุเป็นของอะไร?” นัทธีจับโทรศัพท์แน่น ถามอีกครั้ง
บอดี้การ์ดบอกเขาว่าวารุณีได้รับพัสดุน่าขยะแขยง แต่หลักๆ คืออะไร บอดี้การ์ดก็ไม่ได้พูด
เพราะว่าพัสดุนั้น ถูกสาวใช้จัดการไปเร็วมาก
“เป็นศพของแมวตัวหนึ่ง” วารุณีลูบไปที่ท้อง พยายามกดทับความอยากคลื่นไส้จากกระเพาะ แล้วตอบกลับนัทธี
ในแววตาของนัทธีมีความเย็นชาที่รุนแรงแพร่ออกมา “ศพของแมว……”
“ใช่” วารุณีพยักหน้า
นัทธีมีความเป็นห่วงเล็กน้อย “ไม่ได้ตกใจมากใช่ไหม?”
“ไม่ ฉันไม่ได้เห็นแมวตัวนั้น เชอรีนเป็นคนแกะกล่องให้ฉัน เธอเห็นแล้ว ตกใจไม่น้อยเลย” วารุณีมองไปทางเชอรีน พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
นัทธีเองก็รู้ว่าพัสดุนี้พุ่งไปทางวารุณี เชอรีนช่วยเธอรับความตกใจ ดังนั้นในใจของเธอจึงไม่ค่อยสบายใจ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันให้คนส่งของไปให้เชอรีน ถือว่าเป็นการชดเชย” นัทธีพูด
วารุณียิ้มแล้วพยักหน้า “โอเค เชอรีนรู้แล้วต้องดีใจมากแน่ๆ”
นัทธีพูดขึ้นอีกว่า “หากเป็นพัสดุของนิรุตติ์และนวิยาจริงๆ งั้นพวกเขาคงไม่ถูกจับได้ง่ายขนาดนั้นแน่นอน ดังนั้นหลังจากนี้ พวกเขาน่าจะดำเนินงานต่อ หากได้รับพัสดุแบบนี้อีก อย่าแกะ ให้บอดี้การ์ดแกะก่อน เข้าใจไหม?”
ครั้งนี้เป็นศพของแมว ครั้งหน้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีอะไร
หากเป็นงูพิษที่ยังมีชีวิตอยู่ งั้นผลที่ตามมาคงจะเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิดแน่นอน
วารุณีรู้ว่านัทธีเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ เป็นห่วงวารุณี ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อื้ม ฉันรู้แล้ว”
“รู้ก็ดีแล้ว” คิ้วที่ขมวดของนัทธีคลี่คลายลง
ในไม่ช้า การคุยโทรศัพท์ก็จบลง เชอรีนกลับมาแล้ว
วารุณีพูดเรื่องชดเชยให้กับเธอ เธอดีใจถึงขั้นยิ้มจนปากฉีกถึงหู
ทว่าจะดีใจแค่ไหน เชอรีนก็ไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญ วางโทรศัพท์ลงแล้วพูดว่า “วารุณี ทางบริษัทส่งของตอบตกลงแล้วว่าจะพาพนักงานส่งพัสดุคนนั้นมา น่าจะมาถึงในไม่ช้า”
วารุณีดื่มน้ำ “รู้แล้ว ลำบากเธอแล้วนะ”
“ไม่ลำบาก” เชอรีนโบกมือ
ในฐานะเพื่อน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ควรอยู่แล้ว
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พนักงานส่งพัสดุและผู้จัดการของเขาก็มาถึง
เมื่อกี้ในตอนที่เชอรีนคุยโทรศัพท์ ได้พูดเรื่องพัสดุแล้วกับบริษัทส่งของแล้ว
บริษัทส่งของได้ข่าวว่าพนักงานส่งพัสดุของตัวเองได้ส่งศพแมวให้กับลูกค้า ทันใดนั้นก็ตกใจไม่น้อยเลย
โดยเฉพาะลูกค้ายังเป็นคนต่างประเทศที่มีเงินจำนวนมาก
ดังนั้นบริษัทพัสดุเล็กเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ จึงรีบพาพนักงานส่งพัสดุมา
“ตอนที่นายส่งพัสดุ รู้ไหมว่าข้างในคืออะไร?” วารุณีมองดูพนักงานส่งพัสดุคนนั้น ถามอย่างเย็นชา
พนักงานส่งพัสดุรีบส่ายหัว “ไม่รู้ครับ พัสดุถูกปิดไว้ ผมก็ไม่สามารถแกะดูของข้างในเองได้ครับ ดังนั้นคุณนาย ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ครับ ผมบริสุทธิ์ใจครับ”
สำหรับคำตอบนี้ วารุณีไม่ได้แปลกใจ เพราะว่าเมื่อกี้เธอก็เดาออกแล้ว
ทำงานอยู่ในเขตวิลล่านี้มาหลายปี คือพนักงานส่งพัสดุที่ไม่มีคะแนนติดลบเลย น่าจะไม่ถูกติดสินบน
เพราะว่าพนักงานส่งพัสดุรู้ คนท่าอาศัยอยู่ในนี้ ต่างก็เป็นคนใหญ่คนโตที่ไม่สามารถสร้างเรื่องบาดหมางได้ หากเกิดอะไรขึ้น คนแรกที่จะหา ก็คือพนักงานส่งพัสดุคนนี้
พนักงานส่งพัสดุที่รู้ในจุดนี้ ไม่มีทางโง่เสี่ยงแน่นอน รู้อยู่แล้วว่าข้างในคืออะไร ยังส่งมาอีก งั้นมีความเป็นไปได้สูงที่สุด ก็คือพนักงานส่งพัสดุคนนี้ไม่รู้
วารุณีเม้มปาก “งั้นนายรู้ไหมว่าใครเป็นคนส่งพัสดุนี้มา?”