พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 557 ตัดต่อรูปภาพ
อารัณวางมือลงบนใบหน้าของวารุณี พูดอย่างจริงจังว่า “วางใจเถอะครับหม่ามี๊ ผมไม่ทำอะไรมั่วๆ แน่นอน ผมรู้ว่าควรทำอย่างไร”
ผ่านเรื่องของไอริณในครั้งที่แล้ว เขาก็เข้าใจแล้ว ถึงแม้ว่าจะฉลาดแค่ไหน ทว่าเขาก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง พบเจอกับผู้ใหญ่ ก็แพ้อยู่ดี
ดังนั้นเขาไม่ทำอะไรมั่วๆ แน่นอน และจะดื้อพาไอริณวิ่งไปมั่ว เขารู้ นวิยากับคุณลุงที่น่ากลัวคนนั้น กำลังจ้องพวกเขาอยู่ในที่ลับ อยากต่อต้านพวกเขา
“งั้นก็ดี งั้นหม่ามี๊ไปก่อนนะ” วารุณียืนขึ้น
“หม่ามี๊ลาก่อนครับ” เด็กทั้งสองโบกมือกับเธอ
วารุณียิ้มแล้วพยักหน้า หันหลังไปทางห้องพักผ่อน
ออกจากห้องพักผ่อนไป วารุณีปิดประตู มองไปทางบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอเอ่ยปากพูดกับบอดี้การ์ดสองคนในนั้น “เด็กทั้งสองฝากกับพวกนายไว้แล้ว หากพวกเขาเกิดอะไรขึ้น ฉันมีแต่จะถามพวกนาย”
เธอพูดด้วยสีหน้าที่เกรงขาม
บอดี้การ์ดทั้งสองยืนตัวตรง “วางใจเถอะครับคุณนาย พวกเราจะปกป้องคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยอย่างดีครับ”
“ดีมาก ขอแค่พวกนายปกป้องพวกเขาอย่างดี โบนัสและรางวัลของฉันกับท่านประธานนัทธีไม่น้อยแน่นอน” วารุณีเก็บความเกรงขาม เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เธอเข้าใจดี อยากให้คนคนหนึ่งซื่อสัตย์ เพียงแต่คำเตือนและการข่มขู่ไม่พอ ยังจะต้องมีการเกลี้ยกล่อมทั้งด้านเงินและของรางวัล
นี่ก็เหมือนกับการตบหน้าแล้วลูบหลัง
เป็นเหมือนกับที่คิดเอาไว้ บอดี้การ์ดได้ยินโบนัสและรางวัลแล้ว ในแววตาก็มีความดีใจเผยออกมา รีบตอบกลับทันที “เข้าใจครับคุณนาย”
วารุณีอึ้มไปคำหนึ่ง หันหลังแล้วจากไป
นอกจากบอดี้การ์ดสองคนเมื่อกี้แล้ว บอดี้การ์ดที่เหลือ ต่างก็ตามขึ้นมา
ผู้คนในสนามแข่งขันมากที่สุด ดังนั้นจำเป็นต้องใช้บอดี้การ์ดจำนวนมากไปปกป้อง
การแข่งขันในวันนี้ความยากค่อนข้างสูง
น่าจะพูดว่า เมื่อผู้เล่นถูกคัดออกมากขึ้นเรื่อยๆ ความยากของการแข่งขัน ก็เริ่มค่อยๆ เพิ่มขึ้น
วารุณีถึงขั้นได้ยินดีไซน์เนอร์บางคนเริ่มถอนหายใจ บอกว่าตัวนี้ตามการแข่งขันไม่ทัน
ถึงแม้ว่าเธอจะสงสาร ก็ไม่มีทางช่วย
เพราะนี่ก็คือความเป็นจริงๆ ความเป็นจริงที่โหดร้าย ทุกคนต่างก็อยากจะชนะ
อีกอย่างนี่คือการแข่งขันที่ตัดคนออก ไม่ใช่การแข่งขันมิตรภาพ
คิดแบบนี้แล้ว วารุณีสูดหายใจลึก กดทับความสงสารในใจลงไป เริ่มเข้าสู่โหมดแข่งขัน
มาถึงช่วงพักตอนกลางวัน วารุณีส่งภาพร่างการออกแบบไป เตรียมตัวจะไปทานข้าวเที่ยงกับเชอรีนที่ห้องพักผ่อน
ยังเดินไม่ทันกี่ก้าว ก็ถูกพนักงานคนหนึ่งเรียกเอาไว้ ในมือของพนักงานคนนั้นยังถือกล่องๆ หนึ่งไว้
เห็นกล่องๆ นั้นแล้ว วารุณีกับเชอรีนสบตากัน ทั้งสองต่างก็ไม่มีความตกใจ เห็นมีแต่ประโยคสองคำในแววตาของฝ่ายตรงข้ามว่า : มาแล้ว!
พวกเธอเดาออกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าพัสดุอาจจะถูกส่งมาที่ห้องโถงแข่งขัน ตอนนี้กล่องที่อยู่ในมือของพนักงาน ก็ยืนยันการคาดเดาของพวกเธอแล้ว
“วารุณี นี่คือของขวัญที่เพื่อนของคุณให้คุณ ให้ฉันช่วยนำมาให้” พนักงานยื่นกล่องนั้นมา
วารุณียิ้มแล้วรับ “ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร” พนักงานโบกมือ ผ่านเธอไปแล้วจากไป
รอให้พนักงานเดินไปไกลแล้ว เชอรีนแย่งกล่องมาจากมือของวารุณี “ให้ตายเถอะ ส่งมาถึงที่นี่จริงๆ ด้วย”
เธอนำกล่องไว้ข้างหูแล้วใช้แรงเขย่า อยากฟังดูว่าข้างในคืออะไรกันแน่
ทว่าข้างในมีเสียงคลุมเครือ ฟังไม่ออกว่าเป็นอะไร
เชอรีนได้แต่ยอมแพ้ ทิ้งกล่องเข้าไปในถังขยะ “พอแล้ววารุณี ครั้งนี้พวกเราไม่ดูแล้ว หากเป็นพวกแมลงสาบอีก บินไปทั่วทุกทิศ อีกอย่างที่นี่ไม่ได้จับง่ายเหมือนห้องพักผ่อน”
วารุณีอื้มไปคำหนึ่ง “ไปเถอะ”
สำหรับวิธีที่เชอรีนทิ้งกล่องลงถังขยะเลย เธอเห็นด้วยและหวังว่าเป็นเช่นนี้ ตัวเธอเองก็คิดไว้ว่าจะทำแบบนี้
อีกอย่าง น่าจะเป็นเพราะว่า ‘เซอร์ไพรส์’ แบบนี้ได้รับมากเกินไป ตอนที่เธอเห็นมีคนนำกล่องพวกนี้มา ก็ไม่ค่อยมีการตอบสนองที่รุนแรงแล้ว
ทั้งสองกลับไปที่ห้องพักผ่อนต่อ
บอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสองคนเห็นพวกเธอเดินมา รีบเปิดประตูออก “เชิญครับคุณนาย”
วารุณีพยักหน้า พาเชอรีนเข้าไป
ในห้องพักผ่อน เด็กทั้งสองกำลังดูโทรทัศน์อยู่ เห็นทั้งสองเขามา รีบลงจากโซฟาแล้ววิ่งมา “หม่ามี๊ หม่ามี๊แข่งเสร็จหรือยังคะ?”
“ยังเลย เดี๋ยวตอนบ่ายจะต้องไปต่อ” วารุณีโอบรับเด็กทั้งสองไว้
ตอนนี้เด็กทั้งสองจะอายุห้าขวบแล้ว ร่างกายโตขึ้นกว่าสองสามเดือนก่อนเยอะมาก วิ่งมากะทันหันแบบนี้ ก็กับระเบิดน้อยเลย ชนโดนขาของเธอจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
หากผ่านไปอีกหนึ่งปี เธอไม่กล้าโอบรับแบบนี้แล้ว
“วารุณี บอดี้การ์ดส่งข้าวมาแล้ว” เชอรีนชี้ไปทางอาหารกลางวันสุดหรู พูดพลางดวงตาเปล่งประตาย
ตั้งแต่ที่รู้ว่านวิยาก็อยู่ทางนี้ นัทธีก็ไม่ให้วารุณีทานข้าวที่ห้องโถง เพราะไม่รู้ว่านวิยาจะซื้อตัวคนที่ทำงานในโรงอาหารหรือเปล่า
ดังนั้นนัทธีจึงให้บอดี้การ์ดไปซื้ออาหารในร้านอาหารที่แตกต่างกันทุกวัน แล้วส่งมาให้พวกวารุณีทานที่ห้องโถง
พอเป็นแบบนี้ พวกนิรุตติ์และนวิยา ก็ไม่รู้แล้วว่าแต่ละวันพวกเขาจะทานอาหารร้านไหน แน่นอนว่าก็ลงมือกับอาหารไม่ได้แล้ว
“อื้ม ฉันเห็นแล้ว พอแล้ว ไปทานข้าวเถอะ” วารุณีจูงมือเด็กทั้งสอง ยิ้มแล้วพูด
ระหว่างช่วงอาหารกลางวัน จู่ๆ ห้องพักผ่อนก็ถูกเคาะดังขึ้น
วารุณีวางตะเกียบลงมองไปทางนอกประตู “เข้ามา”
บอดี้การ์ดเปิดประตูแล้วเข้ามา “คุณนายครับ เมื่อกี้มีพนักงานคนหนึ่งมาที่นี่ บอกว่าเพื่อนของคุณส่งของขวัญมา คือสิ่งนี้ครับ”
พูดจบ บอดี้การ์ดก็ยื่นพัสดุด้วยสองมือจากข้างหลัง
มองดูพัสดุกล้องนี้ วารุณีขมวดคิ้วทันที
เชอรีนโมโหจนตบโต๊ะ “ให้ตายเถอะ มาอีกแล้ว ปกติแค่วันละชิ้น วันนี้กลับส่งมาสองชิ้นเลย”
กล่องนี้ใหญ่กว่ากล่องเมื่อกี้ แสดงว่า ไม่ใช่กล่องที่พวกเธอได้รับเมื่อกี้ เป็นของใหม่
“หม่ามี๊ นวิยาเป็นคนส่งมาอีกแล้วเหรอครับ” อารัณหรี่ตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นคล้ายกับนัทธีมาก
วารุณีอื้มไปคำหนึ่ง “ใช่”
อารัณสีหน้าเย็นชา
วารุณีมองบอดี้การ์ด “นำสิ่งนี้ออกไป ดูด้วยว่าข้างในมีอะไร แล้วก็ หากมีพนักงานส่งกล่องพวกนี้มาอีก อย่ารับเด็ดขาด”
“ครับ” บอดี้การ์ดพยักหน้า ถือกล่องออกไป
วารุณีเก็บสายตา ฝืนยิ้ม “ไปแล้ว ทานอาหารต่อเถอะ”
เชอรีนพูดพึมพำ “ตอนนี้ใครจะยังมีอารมณ์กินข้าวอีก โมโหจนอิ่มแล้ว”
วารุณีมองเธอ แล้วมองเด็กทั้งสอง ไม่ได้พูดอะไร
เป็นเรื่องจริง อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เธอเองก็โมโหมากๆ
จับนวิยาไม่ได้ กล่องแบบนี้ก็จะถูกส่งมาตรงหน้าเธอทุกวัน ถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดจะห้ามไว้ แต่ก็ต้องมีวันที่รอดไปได้
นวดระหว่างคิ้ว วารุณีถอนหายใจ
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอย้ำกับเด็กทั้งสองอีกว่าอย่าวิ่งไปมั่ว รออยู่ในห้องพักผ่อน แล้วเดินออกไปกับเชอรีน
นอกห้องหักผ่อน บอดี้การ์ดสองสามคนรออยู่ที่นั่น
เห็นพวกเธอออกมาแล้ว บอดี้การ์ดที่มาส่งกล่องก่อนหน้านี้เดินออกมา “คุณนายครับ ของข้างนายผมดูแล้วครับ”
“คืออะไร?” วารุณีถาม
บอดี้การ์ดหน้าแดงแล้ว รู้สึกยากที่จะเปิดปากพูด
วารุณีเม้มปาก “พูดสิ คืออะไรกันแน่?”
“ภาพหลุดคุณกับหัวหน้า……ไม่ใช่ครับ คือภาพที่ตัดต่อครับ ตัดต่อคุณกับผู้ชายคนอื่น แล้วตัดต่อหัวหน้ากับผู้หญิงอื่นครับ” บอดี้การ์ดจับจมูกแล้วพูด
การที่เป็นบอดี้การ์ดชำนาญ แน่นอนว่าเพียงแค่แวบแรกพวกเขาก็สามารถมองออกว่าใช่ของจริงหรือเปล่า
สีบนใบหน้ากับร่างกายของรูปเมื่อกี้ไม่ใช่สีเดียวกัน ใบหน้าออกเขียว เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าตัดต่อ
“ให้ตายเถอะ ไร้ยางอายขนาดนี้เลย กลับตัดต่อภาพด้วย” วารุณียังไม่ทันโมโห เชอรีนก็โมโหจนด่าขึ้นมาแล้ว
วารุณีเม้มปากเข้าหากัน สีหน้าเย็นชา “รูปภาพพวกนั้นล่ะ?”