พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 60 กิจกรรมพ่อแม่ลูก
“เข้ามา!” เสียงเยือกเย็นของนัทธีดังขึ้น
วารุณีเปิดประตูเข้าไป “ประธานนัทธี สุดสัปดาห์นี้คุณมีเวลาว่างไหมคะ?”
“มีอะไรรึเปล่าครับ?” นัทธีวางเอกสารในมือลงแล้วมองไปที่เธอ
วารุณีจับมือตนเองแน่น รวบรวมความกล้าแล้วพูด“คือว่า สุดสัปดาห์นี้ที่โรงเรียนอนุบาลของอารัณกับไอริณ มีกิจกรรมพ่อแม่ลูก คุณเองก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของพวกเราพ่อแม่ลูกเป็นยังไง ดังนั้น……”
“คุณอยากให้ผมสวมรอยเป็นพ่อของเด็กทั้งสองคน แล้วไปร่วมกิจกรรมนี้เหรอครับ?” นัทธีขมวดคิ้ว เข้าใจสิ่งที่เธอพูดทันที
“ใช่ค่ะ” วารุณีพยักหน้า
มือเรียวยาวของนัทธีเคาะโต๊ะทำงานเบาๆ “ทำไมถึงมาขอให้ผมช่วย? คุณมีหมอที่ชื่อพงศกรอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
วารุณีจับจมูก “พงศกรไม่ว่างค่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของนัทธีเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ดังนั้นที่เป็นเพราะเธอไม่มีคนอื่นให้ขอความช่วยเหลือ ก็เลยมาหาเขา?
คิดถึงตรงนี้ ภายในใจของนัทธีโมโหเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะปฏิเสธ เสียงโอหังดังขึ้นมาจากประตู “เรื่องแบบนี้ คุณควรมาหาผมสิ”
หื้ม?
วารุณีหันหน้ากลับไป
เห็นนิรุตติ์ถือเอกสารเอาไว้หนึ่งเล่ม แล้วเดินเข้ามา หยุดลงข้างเธอ
“ผู้อำนวยการนิรุตต์” วารุณีร้องทักด้วยความเกรงใจ
นิรุตต์มองนัทธีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นมองไปที่วารุณี “เมื่อกี้ผมได้ยินหมดแล้ว คุณอยากหาพ่อไปร่วมกิจกรรมพ่อแม่ลูกให้ลูกทั้งสองคนของคุณ ผมไปดีไหมครับ?”
เขาชี้ไปที่ตัวเอง
นัทธีขมวดคิ้วเป็นปม ทว่าไม่ได้พูดอะไร เขามองวารุณี อยากรู้คำตอบของเธอ
วารุณีไม่ทำให้เขาผิดหวัง โค้งลำตัวลงแล้วบอกกับนิรุตติ์ด้วยความรู้สึกผิด “ขอบคุณมากนะคะผู้อำนวยการนิรุตติ์ แต่ว่าไม่เป็นไรค่ะ”
เธอปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ ทำให้นัยน์ตาของนิรุตติ์ฉายความโมโห แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว “ทำไมคุณถึงไม่พิจารณาผมบ้าง? ให้ผมไปกับนัทธีไปน่าจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากรึเปล่า?”
“มีค่ะ!” วารุณีหันไปทางนัทธี “ประธานนัทธีหน้าตาคล้ายลูกชายของฉันมาก ไม่ต้องกลัวว่าถ้าเขาไปคนอื่นจะสงสัยว่าเป็นพ่อลูกกันรึเปล่า”
นี่ก็จริง!
ริมฝีปากบางของนัทธีกระตุกขึ้นเล็กน้อย อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะคำพูดของเธอ
นิรุตติ์ไม่พอใจที่นัทธีได้ดี หลบตาลงซ่อนความหม่นหมอง พูดเสียงเบา“แค่หน้าตาคล้ายกันจะมีประโยชน์อะไร กิจกรรมพ่อแม่ลูกต้องให้เล่นเกมเยอะแน่ๆ สุขภาพร่างกายของนัทธีไม่ดีเท่าไหร่ เล่นเกมไม่ได้ ไปก็สูญเปล่า!”
“เอ่อ……” วารุณีหยุดชะงัก
จริงด้วย เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย
มองดูวารุณีที่เริ่มเอนเอียงไปตามคำพูดของนิรุตติ์ แววตาของนัทธีเยือกเย็น ลุกขึ้นจากวีลแชร์ “คำขอร้องของคุณ ผมตกลง”
“แต่ว่าประธานนัทธีคะแผลของคุณ……” ริมฝีปากแดงของวารุณีเม้มเล็กน้อย ถึงแม้เธอจะดีใจที่เขาตกลง แต่ก็ยังคงไม่วางใจ
นิรุตติ์ขยับแว่นแล้วพูด“จริงด้วยนัทธี แผลยังไม่หายก็อยู่นิ่งๆ ไปก่อน ขืนนายออกไปแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ทำให้วารุณีเดือดร้อนเปล่าๆ ไม่ใช่เหรอ?”
ทว่านัทธีก็ไม่สนใจเขา มองไปที่วารุณี ริมฝีปากบางตอบกลับ“แผลของผมไม่สำคัญ ขอแค่ไม่ใช่การออกกำลังรุนแรงก็ไม่เป็นอะไร พอได้แล้วคุณออกไปเถอะ เดี๋ยวสุดสัปดาห์นี้ผมติดต่อคุณเอง”
เขาไล่แขก วารุณีก็ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ กล่าวขอบคุณแล้วเดินออกไป
พอเธอเดินออกไป นิรุตติ์ก็ไม่เสแสร้งแกล้งทำอีกแล้ว กลับมาเป็นสีหน้าเดิมของเขา พูดด้วยความร้ายกาจ“นัทธี ดูไม่ออกจริงๆ ว่าแกแคร์ผู้หญิงคนนี้มาก เพื่อเธอแล้วถึงขั้นยอมสวมรอยเป็นพ่อเด็ก แกว่าถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับพิชญา พิชญาจะไปหาเรื่องวารุณีไหม?”
เมื่อได้ฟัง นัทธีหรี่ตาลง นัยน์ตาสีนิลนั้น เผยความเยือกเย็นที่ไม่อาจบรรยายได้ “นิรุตติ์ ฉันขอเตือนแกเอาไว้ก่อน ทางที่ดีที่สุดแกอย่าคิดทำเรื่องพวกนี้!”
นิรุตติ์หัวเราะเยือกเย็น “ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ แกจะทำอะไรฉันได้?”
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ลองดู” นัทธีตอบกลับเสียงเยือกเย็น
นิรุตติ์จ้องมองเขาครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะ “ดูแกสิ ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น แกจริงจังไปได้ พอได้แล้ว นี่คือเอกสารที่แกต้องการ”
นิรุตติ์ยื่นเอกสารในมือออกไป
นัทธีไม่ได้รับเอาไว้
นิรุตติ์ก็ไม่ว่าอะไร หลังจากยักไหล่ วางเอกสารไว้บนโต๊ะของนัทธีแล้วเดินออกไป
ในเวลานี้ มารุตเดินเข้ามา ในมือถือกระติกเก็บความร้อน
นัทธีนั่งลงบนวีลแชร์ มองดูกระติกเก็บความร้อน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายยกอันนี้เข้ามาทำไม?”
“ท่านประธานครับ คุณวารุณีเอามาให้ผมครับ บอกว่านี่เป็นซุปกระดูกที่เธอตุ๋นให้ท่านประธาน ช่วยบำรุงกระดูกครับ” มารุตตอบ
“วารุณีตุ๋นให้ฉัน?” นัทธีได้ยินเพียงคำนี้ ภายในใจของเขามีความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ มันอบอุ่น
มารุตวางกระติกเก็บความร้อนไว้ตรงหน้าเขา “ท่านประธาน ดื่มสักหน่อยไหมครับ?”
นัทธีไม่ได้ตอบ
มารุตคิดว่าเขาไม่อยากดื่ม ยื่นมือไปอยากจะเอากระติกเก็บความร้อนกลับมา
นัทธีเห็น เม้มปากแล้วพูด “นายทำอะไรของนาย?”
“ผมจะเอาไปคืนคุณวารุณีครับ !” มารุตตอบกลับอย่างไร้เดียงสา
นัทธีมองเขาด้วยแววตาเยือกเย็น “ใครบอกให้นายเอาไปคืน เอาไปแช่ในตู้เย็น ตอนเที่ยงอุ่นกิน”
“……ครับ!”มารุตกระตุกมุมปาก แล้วขานตอบ
จริงๆ เลย ในเมื่อจะให้เก็บเอาไว้ก็น่าจะบอกตั้งแต่แรก
ทำให้เขาคิดผิดอีกแล้ว!
ตอนเที่ยง นัทธีได้ดื่มซุปกระดูก
สีของซุปกระดูกขาวเหมือนน้ำนม กลิ่นหอม แค่มองก็รู้แล้วว่าคนที่ตุ๋นตั้งใจทำแค่ไหน
อย่างไม่รู้ตัว นัทธีดื่มซุปในกระติกเก็บความร้อนจนหมด
จากนั้นเขาก็ยื่นกระติกเก็บความร้อนไปให้มารุต บอกให้มารุตเอาไปคืนวารุณี
ตอนที่มารุตเจอวารุณี วารุณีกำลังกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารของพนักงาน
เขายื่นกระติกเก็บความร้อน “คุณวารุณีครับ ประธานนัทธีบอกให้ผมขอบคุณคุณวารุณี ทั้งยังบอกว่าซุปนี้อร่อยมากครับ”
“เหรอคะ” วารุณีรับกระติกเก็บความร้อนมาด้วยความดีใจ
ตอนแรกเธอยังกังวลว่าเขาจะรังเกียจฝีมือเธอ
คิดไม่ถึงว่านัทธีจะให้เกียรติเธอแบบนี้ ไม่เพียงแค่ดื่ม แต่ยังดื่มจนหมด ดูท่าสามารถทำให้เขาต่อได้
วารุณยิ้ม
ด้วยเหตุนี้สองสามวันต่อจากนั้น เธอทำซุปบำรุงต่างๆ ไปในนัทธีจริงๆ
ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ นัทธีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเสื้อเชิ้ตของเขาแน่นกว่าปกติ
เขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ไปช่างน้ำหนัก ตอนที่เห็นตัวเลขบนตราชั่ง เขาเงียบ
จนกระทั่งผ่านไปนาน เขานวดขมับของตนเอง ถอดเสื้อเชิ้ต แล้วใส่เสื้อลำลองออกไป
โรงเรียนอนุบาลรุ่งอรุณ คือชื่อโรงเรียนอนุบาลใหม่ของอารัณและไอริณ
นัทธีมาถึงที่นี่ก่อน เขายืนพิงอยู่ที่รถยนต์ประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดสามแม่ลูกก็มาถึง
“คุณอานัทธี” ทันทีที่เด็กทั้งสองลงจากรถ ก็วิ่งไปหาเขาด้วยชื่นชอบ
วารุณีเดินอยู่ด้านหลังสุด มองดูเด็กทั้งสองที่สนิทสนมกับนัทธี ความเศร้าฉายผ่านแววตาของเธอ แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ช่างเถอะ สนิทสนมกันก็สนิทสนมกันไปเถอะ
ขอแค่เธอไม่บอกลูกทั้งสองคน ว่านัทธีเป็นพ่อของพวกเขาก็พอแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนั้น วารุณีคลายยิ้มแล้วเดินไป “ประธานนัทธี ขอโทษที่ปล่อยให้คุณรอนานนะคะ รถติดนิดหน่อยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เพิ่งมาถึงไม่นาน” มือข้างหนึ่งของนัทธีอุ้มไอริณเอาไว้ อีกข้างหนึ่งอุ้มอารัณแล้วตอบ
“หม่ามี๊ วันนั้นคุณอานัทธีหล่อมากเลยค่ะ!” ไอริณตบมือแล้วพูด
วารุณีเพิ่งสังเกตเห็นว่าสไตล์การแต่งตัวในวันนี้ของนัทธีเปลี่ยนไป อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาแต่งตัวสไตล์นี้
แต่ว่าก็หล่อเหมือนกัน!
“พูดถูกค่ะ คุณอานัทธีหล่อมาก” วารุณีจับแก้มของลูกสาว
อารัณพยักหน้าเห็นด้วย
คำชมของสามแม่ลูก ทำให้นัทธีกระแอมไอด้วยความประหม่า เปลี่ยนบทสนทนา “พอแล้วครับ ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว เข้าไปกันก่อนเถอะครับ”
ขณะพูด เขาก็พาเด็กทั้งสองเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล ทันทีที่เข้าไป สายตามากมายจับจ้องมาที่เขา