พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 627 กลับไปค่อยจัดการเธอ
นัทธีแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ คงจะน้อยใจน่าดู
จุ๊บแจงรู้สึกหึงหวงจนดวงตาแดงก่ำ
เพื่อนร่วมงานข้างๆเห็นท่าทีเธอแบบนี้ ก็แอบไปฟ้องหัวหน้างาน “หัวหน้าคะ ดูเธอสิคะ”
เพื่อนร่วมงานชี้ไปที่จุ๊บแจง
หัวหน้าเห็นแล้ว สีหน้าของเธอก็บึ้งตึงทันที “พวกเธอสองคน เอาตัวเธอมาที่นี่ อย่าให้ท่านประธานเห็นเชียวนะ”
ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจมากที่เอาผู้หญิงคนนี้มาช่วยงานที่นี่
ยังกล้ามาร้องไห้ที่นี่อีก แถมยังทำท่าอิจฉาริษยาอีกนะ
ถ้าท่านประธานหรือคนใหญ่คนโตคนไหนเห็นเข้า คงจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาแน่
“รับทราบค่ะหัวหน้า” เพื่อนร่วมงานที่ฟ้องก็รีบพยักหน้า จากนั้นก็เรียกเพื่อนอีกคน ไปจับตัวจุ๊บแจงมา
จุ๊บแจงสนใจแต่เรื่องในโบสถ์ ไม่ทันระวังพวกหัวหน้าเลย
จนกระทั่งเธอถูกเพื่อนร่วมงานจับตัวแล้วลากออกไป เธอก็ถึงรู้สึกตัวและพยายามขัดขืน “พวกเธอทำอะไรน่ะ?”
ได้ยินเธอพูดเสียงสูง สีหน้าของหัวหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบพูดขึ้นว่า: “รีบปิดปากเธอไว้ อย่าให้เธอตะโกนออกมา!”
ถ้าเกิดเสียงของจุ๊บแจงดึงดูดผู้คนในโบสถ์ เดี๋ยวจะเป็นปัญหาเอาได้
เพื่อนร่วมงานก็ต่างพยักหน้ากัน ยกมือขึ้นกำลังจะปิดปากจุ๊บแจงไว้
จุ๊บแจงก็กลับตะโกนเสียงดังว่า “ท่านประธานคะ ท่านประธาน ช่วยด้วยค่ะ!”
เสียงของเธอดังมาก แถมยังมีความหวาดกลัวและตกใจอีก ทำอย่างกับถูกลักพาตัวยังไงหยั่งงั้น
สีหน้าของหัวหน้าซีดเซียว ขณะเดียวกันก็รู้สึกโมโหและกลัวไปด้วย
ผู้หญิงคนนี้กลับกล้าตะโกนออกมาจริงๆ!
ใครไม่รู้บ้างว่านี่คืองานแต่งของท่านประธานกับคุณหญิง จุ๊บแจงผู้หญิงคนนี้กลับตะโกนร้องโหวกเหวกโวยวาย ทำลายบรรยากาศในงานแต่ง
เธอที่เป็นหัวหน้า ก็ต้องถูกเรียกตัวคนแรกแน่!
เพราะยังไงเธอก็เป็นคนที่นำตัวจุ๊บแจงมา
หัวหน้ารู้สึกเกลียดจุ๊บแจงจับใจ เกลียดจนอยากจะบีบคอจุ๊บแจงให้ตายๆไปซะ
ขนาดเพื่อนร่วมงานที่จับตัวจุ๊บแจงไว้ ก็เริ่มกลัวขึ้นมา พวกเธอสบตากันไม่รู้ควรทำยังไงดี
ภายในโบสถ์ วารุณีกำลังเตรียมโยนดอกไม้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องของจุ๊บแจง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ชะงักไปทันที
นัทธีก็ขมวดคิ้วเป็นปมเหมือนกัน
ส่วนแขกคนอื่นๆก็ต่างหยุดปรบมือ แล้วมองออกไปด้านนอกอย่างสงสัย
“วารุณี เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ปาจรีย์ถามอย่างสงสัย
เชอรีนกับลีน่าต่างก็หันไปมองวารุณี
วารุณีเม้มปากไม่ตอบ
นัทธีกวักมือเรียกมารุต “ไปดูหน่อยสิ”
“ครับ” มารุตพยักหน้าด้วยสีหน้าเข้มงวด จากนั้นก็กลับหลังหันเดินออกจากโบสถ์
เขามาถึงตรงหน้าพวกพนักงานทำความสะอาด มองจุ๊บแจงด้วยสายตาที่เย็นชา “โวยวายอะไรกัน?”
จุ๊บแจงถูกเขามองจนหวาดกลัว และรีบก้มหน้าหลบสายตาเขาอย่างไหว
หัวหน้ารีบเข้ามาอธิบายว่า “ผู้ช่วยมารุตคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะคะ ฉันแค่อยากให้คนพาผู้หญิงคนนี้ออกไป สุดท้ายเธอกลับตะโกนขึ้นมาเอง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” จุ๊บแจงเงยหน้าขึ้น ตอบกลับเสียงดัง “ทั้งที่เธอเป็นคนจับตัวฉันไว้ ฉันก็เลยต้องตะโกนไง เธอไม่ใช้ให้คนจับตัวฉัน ฉันก็ไม่มีทางตะโกนหรอกนะ”
“เธอ……”
หัวหน้ายังอยากจะพูดอะไรต่อ
มารุตก็พูดแทรกก่อนว่า “พอแล้ว!”
หัวหน้าได้ยินแล้วก็หัวหด แล้วไม่พูดอะไรต่อ
จุ๊บแจงเห็นแบบนี้แล้ว สายตาก็กลับประกายไปด้วยความได้ใจ
สายตาได้ใจของเธอถูกมารุตเห็นเข้าพอดี
มารุตหรี่ตาลง “จุ๊บแจง เธอตั้งใจงั้นเหรอ?”
“อะ……อะไรนะคะ?” จุ๊บแจงอึ้ง
มารุตกระตุกยิ้มเย็นชา “เธอเห็นท่านประธานกับคุณหญิงแต่งงานกัน ในใจก็เลยไม่พอใจ จากนั้นตอนที่เธอถูกหัวหน้าจับไว้ เธอก็เลยตั้งใจร้องตะโกนออกมา อยากดึงดูดความสนใจจากคนในโบสถ์ เป้าหมายเพื่อทำลายบรรยากาศในงานแต่ง ฉันพูดถูกไหม?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉัน……ฉันแค่……” แต่ทว่าจุ๊บแจงเห็นแววตาดูถูกของมารุตแล้ว ก็รู้สึกผิดจนพูดไม่ออก
หัวหน้าเห็นแล้ว จะไม่เข้าใจได้ยังไง เธอโมโหจนอยากตบคนแล้วจริงๆ
มารุตห้ามเธอไว้ก่อน “พอแล้ว วันนี้เป็นงานแต่งของท่านประธานกับคุณหญิง มาทะเลาะกันที่นี่ได้ยังไง เธอเป็นหัวหน้า พวกเขาเป็นลูกน้องของเธอ ไม่มีเธอ พวกเขาก็ไม่มีอยู่ที่นี่หรอก ดังนั้นเดี๋ยวกลับไป ค่อยมาคิดบัญชีกับเธอ”
เขาชี้หน้าหัวหน้าแล้วพูด
หัวหน้าก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาก่อเรื่อง”
“ตอนนี้ขอโทษไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ยังไม่พาคนออกไปอีก เดี๋ยวรองานแต่งจบแล้ว ฉันค่อยมาจัดการเรื่องนี้” มารุตนวดระหว่างคิ้ว และออกคำสั่งอย่างหมดความอดทน
หัวหน้ารีบตอบทันทีว่า “รับทราบค่ะ”
ว่าแล้ว ก็จับตัวจุ๊บแจงไว้เอง
จุ๊บแจงอยากจะวิ่งหนี
มารุตที่มองออกว่าเธอคิดจะทำอะไร ก็เลยเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าเธอคิดจะวิ่งหนี ฉันรับรองได้เลยว่า เธอจะต้องหายไปจากจังหวัดจันทร์แน่นอน เธอเชื่อไหม?”
สีหน้าของจุ๊บแจงเปลี่ยนจนซีดเซียวไปหมด
เมื่อกี้เธอเห็นอะไร?
เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตของผู้ช่วยมารุต
เขาคิดจะฆ่าตัวเองจริงๆ!
ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าครอบงำจุ๊บแจง ตัวของเธอแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่กล้าวิ่งไปไหนอีก ทำได้แค่ยืนอยู่นิ่งๆ จากนั้นก็ถูกคนของหัวหน้าพาตัวออกไป
มารุตเห็นว่าตัวปัญหาถูกนำตัวออกไปแล้ว ก็ค่อยโล่งอกสักที
ดูแล้วการจะจัดการจุ๊บแจงคนที่หน้าด้านแบบนี้ จะใช้วิธีอ่อนข้อไม่ได้ จะต้องแข็งข้อเท่านั้น
ขอแค่ทำให้จุ๊บแจงกลัว ถึงจะจัดการเธอได้จริงๆ
ไม่งั้นทุกอย่างที่ทำไปก็คงเปล่าประโยชน์!
มารุตจัดเสื้อสูทของตัวเอง แล้วกลับหลังหันเดินเข้าโบสถ์ไป
แขกในโบสถ์มองเขาอย่างสงสัย คงอยากรู้ว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่มารุตไม่มีทางบอกพวกเขาหรอก เขาเดินไปข้างนัทธี แล้วกระซิบบอกเขาว่า: “ท่านประธานครับ เป็นจุ๊บแจงครับ”
ว่าแล้ว เขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกทั้งหมด
วารุณียืนอยู่ข้างนัทธี ก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว แววตาของเธอก็ประกายไปด้วยความเกลียดชัง
นัทธีมีสีหน้าที่เกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “รองานแต่งจบแล้ว ให้เงินเธอก้อนหนึ่ง แล้วส่งเธอกลับหมู่บ้านเลยนะ”
ครั้งนี้ ไม่ว่ายังไง เขาตัดสินใจว่าจะไม่เก็บจุ๊บแจงไว้อีกแล้ว
วารุณีได้ยินแล้วก็ไม่มีข้อเสนอแนะใดๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นความผิดพลาดที่ให้จุ๊บแจงทำงานที่นี่ก็ได้ ถ้าส่งกลับไปเรื่องทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น
ปาจรีย์อยู่ใกล้กับวารุณี ก็ได้ยินบ้างเล็กน้อย เธอจึงกระซิบถามว่า: “วารุณี จุ๊บแจงใช่ไหม?”
“ใช่” วารุณีพยักหน้า
ปาจรีย์เบะปาก “ผู้หญิงคนนั้น ยังกล้าตามมาถึงที่นี่อีกเหรอ”
“ฉันนับถือในความเพียรของหล่อนเหมือนกันนะ” วารุณีหัวเราะเสียงเบา
ปาจรีย์มองบน “ความเพียรอะไรกัน ฉันว่าหล่อนหน้าไม่อายมากกว่า เอาล่ะๆ ไม่พูดเรื่องหล่อนละ เธอรีบโยนดอกไม้ดีกว่า ถ้ายังไม่โยนอีก เดี๋ยวจะเลยเวลาเอานะ”
คำพูดด้านหลัง เธอตั้งใจพูดเสียงดัง ไม่ได้ตั้งใจกระซิบพูดอีก
วารุณีรู้ว่าเธอตั้งใจสร้างบรรยากาศขึ้นมาใหม่
เป็นไปตามที่คาดไว้ ผู้คนในโบสถ์พอได้ยินคำพูดของปาจรีย์แล้ว บรรยากาศก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ต่างก็เร่งให้วารุณีโยนดอกไม้กันใหญ่
วารุณียิ้มให้กับนัทธี
นัทธีพยักหน้า “โยนเถอะ”
วารุณีตอบเสียง ‘อืม’ แล้วกลับหลังหัน
ทุกคนเห็นแบบนี้แล้ว ก็ต่างลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปตรงกลางโบสถ์ ยกมือขึ้นอยากแย่งดอกไม้
วารุณีหันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เตรียมพร้อมหรือยัง? ฉันจะเริ่มโยนล่ะนะ สาม สอง หนึ่ง!”
พอพูดจบ เธอก็โยนช่อดอกไม้ในมือออกไปสูงๆ
ทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นมองช่อดอกไม้บนอากาศ อยากจะแย่งกัน
ปาจรีย์เชอรีนและลีน่าก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ไอริณถูกอารัณดึงไปยืนข้างวารุณี ดวงตากลมโตคอยจ้องดอกไม้ช่อนั้นไว้ “พี่คะ ฉันก็อยากได้”
“เธอไม่ต้องเอาหรอก” อารัณพูดกับเธอด้วยสีหน้าเข้มงวด: “ดอกไม้นั้นส่งให้เจ้าสาวคนต่อไป เธอไม่เห็นเหรอ คนที่ลุกขึ้นมาแย่งดอกไม้ต่างก็มีอายุเท่าๆกับแม่บุญธรรม? เธอยังเด็ก เป็นเจ้าสาวไม่ได้หรอกนะ!”