พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 632 การเค้นถามของจุ๊บแจง
นัทธีเห็นอย่างนี้แล้วสีหน้ายิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ “คุณอยากทำอะไรกันแน่!”
จุ๊บแจงกัดริมฝีปากไว้ “ทำไมประธานต้องเลิกจ้างฉันด้วยคะ?”
เธอมองหน้าเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
นัทธีโกรธจนหัวเราะ “ทำไมน่ะเหรอ?ทำไมคุณไม่ลองคิดดูว่าช่วงนี้คุณได้ทำอะไรไปบ้าง?”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรนี่คะ?”จุ๊บแจงสีหน้าข้องใจ
ทีนี้นัทธีถึงเข้าใจว่านี่มันคนโง่ชัดๆ ไม่มีความจำเป็นต้องไปถามคำถามแบบนี้กับเธอเลย สู้พูดตรงๆดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ นัทธีจ้องมองเธออย่างเย็นชา “ในฐานะที่เป็นพนักงานของแผนกทำความสะอาด แผนกทำความสะอาดได้บอกคุณหรือเปล่าว่าห้ามขึ้นไปที่ชั้นบนสุด?แต่คุณล่ะ ขึ้นไปครั้งแล้วครั้งเล่า คุณอยากทำอะไร?คืออยากขโมยความลับเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้อยากขโมยความลับ”จุ๊บแจงรีบผายมือปฏิเสธ “ฉันแค่อยากเห็นหน้าคุณ คุณก็รู้อยู่ว่าฉัน……”
“ผมไม่อยากรู้ ผมเคยบอกแล้วถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้คุณช่วยผมเลย ถ้าการช่วยเหลือของคุณมีแต่จะนำพาความความวุ่นวายและปัญหามาให้ผม งั้นการช่วยเหลือของคุณก็กลายเป็นไม่มีค่าอะไรเลย”นัทธีพูดขัดจังหวะด้วยเสียงเย็นชา
จุ๊บแจงน้ำตาไหล “ทำไมคุณต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย คุณไม่มีใจให้เลยเหรอ?”
เธอช่วยเขาไว้ แต่เขากลับบอกเธอว่าไม่อยากให้เธอช่วย แถมยังบอกว่าเธอนำพาปัญหามาให้เขา ทั้งๆที่เธอไม่ได้มีความหมายอย่างนั้นเลย
“คุณต่างหากที่ไม่มีใจ!”นัทธีได้พูดอีก:“คุณไม่เพียงไม่มีใจ แถมยังไม่มีความละอายใจเลย รักคนๆนึงมันไม่ผิด แต่คุณจะคาดหวังให้คนๆนั้นต้องรักคุณด้วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนๆนั้นยังมีครอบครัวแล้ว มีอยู่หลายครั้งที่คุณใช้สายตาลึกซึ้งมองผม คอยตามตื๊อผม คืออยากทำอะไร อยากทำลายครอบครัวของผมเหรอ?”
“ฉัน……”จุ๊บแจงอยากบอกว่าตัวเองเปล่า แต่พอคำพูดมาถึงปากกลับพูดไม่ออกสักที
แววตาของนัทธีเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “คุณดูสิ แม้แต่ตัวคุณเองก็ยังไม่อาจปฏิเสธเลย เพราะฉะนั้นความรักแบบนี้มันสกปรก แถมเมื่อวานคุณยังพยายามที่จะทำลายงานแต่งของผมอีก คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปเหรอ?บุญคุณที่คุณได้ช่วยชีวิตของผมไว้ ผมได้ใช้เงินคืนให้โดยตรงแล้ว เงินได้โอนให้พ่อของคุณเรียบร้อยแล้ว นับแต่นี้ไป ระหว่างคุณกับผมไม่มีบุญคุณติดค้างกันอีก เพราะฉะนั้นคุณไปจากที่นี่ซะ อย่าให้ผมเห็นหน้าคุณอีก ถ้าเจอหน้าคุณอีกครั้งผมจะไม่ออมมือให้แน่นอน”
พอพูดจบเขาก็ได้ขึ้นรถไป ขับรถไปจากข้างกายของจุ๊บแจง
จุ๊บแจงมองทิศทางที่รถของเขาจากไปด้วยสายตาไม่มีชีวิตชีวา สุดท้ายทนไม่ไหว ได้นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น
ทำไม?ทำไมฟ้าเบื้องบนต้องทำกับเธอแบบนี้?เธอแค่อยากแสวงหาความรักของตัวเอง ทำไมทุกคนล้วนดูถูกเธอหมด ล้วนรู้สึกว่าเธอผิดหมด?
เธอผิดจริงเหรอ?
ในขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆมือถือได้ดังขึ้น
จุ๊บแจงหยิบมือถือออกมาดูอย่างสะอึกสะอื้น พอเห็นว่านิรุตติ์โทรมา สีหน้าได้เปลี่ยนไป เธอรีบเช็ดน้ำตาให้แห้งถึงรับสาย “ฮัลโหล……”
“คุณนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ผมให้คุณอยู่ที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ช่วยผมทำงาน แต่เรื่องของผมยังไม่ได้ให้คุณทำ คุณก็ถูกไล่ออกมาแล้ว ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ”ถึงแม้เสียงของนิรุตติ์ฟังแล้วอ่อนโยนมาก แต่ความเย็นชาที่แฝงอยู่ในคำพูดก็ยังทำจุ๊บแจงตัวสั่นอยู่ดี
มือสองข้างของเธอกุมมือถือเอาไว้แน่น พร้อมถามด้วยเสียงสั่น “คุณ……คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันถูก……”
“ก็ได้ยินน่ะสิ” นิรุตติ์ยกมุมปากขึ้น
จุ๊บแจงเบิกตากว้าง “คุณติดเครื่องดักฟังไว้ที่บนตัวฉัน?”
นิรุตติ์หัวเราะเสียงต่ำ “ถ้าผมไม่ติด แล้วผมจะรู้ความเคลื่อนไหวล่าสุดของคุณเหรอ ถ้าเกิดคุณหัวร้อนขึ้นมาหักล้างผมจะทำยังไง?”
“ฉันเปล่านะ” จุ๊บแจงรีบโต้แย้ง
นิรุตติ์เหอะทีนึง “ผมรู้ว่าคุณเปล่า แต่ก็ไม่เป็นไรแล้ว ให้การร่วมงานของเราสองคนจบลงเพียงเท่านี้เถอะ คนโง่อย่างคุณ บางทีตอนแรกผมก็ไม่ควรคาดหวังให้คุณช่วยผมทำงานแล้ว”
เขารู้ความรู้สึกที่จุ๊บแจงมีต่อนัทธี แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะหัวปักหัวปำขนาดนี้
หลังจากเข้ามาบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว ไม่คิดที่จะสร้างฐานให้มั่นคงก่อนก่อน รอสร้างฐานให้มั่นคงก่อน หลังจากเปลี่ยนตัวเองให้ยอดเยี่ยมขึ้น ค่อยไปใกล้ชิดนัทธี แต่พอเข้าบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปปุ๊บก็ไปตามตื๊อตามตอแยนัทธีเลย ได้ทำลายพระคุณอันน้อยนิดนั่นจนหมดสิ้น
ไม่นึกเลยว่าตอนแรกตัวเองจะไปร่วมงานกับผู้หญิงแบบนี้ ดูผิดคนจริงๆ
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นิรุตติ์รู้สึกว่าตัวเองดูคนผิด ในใจรู้สึกค่อนข้างโกรธอย่างเลี่ยงไม่ได้
จุ๊บแจงได้ยินคำว่าโง่เขลาแล้ว โมโหจนหน้าแดงไปหมด “นี่คุณ……คุณว่าฉันแบบนี้ได้ยังไง!”
“ผมพูดผิดหรือไง?พูดกับคนโง่อย่างคุณแม้แต่คำเดียวก็ยังรู้สึกว่าเสียเวลาเลย”
นิรุตติ์พูดจบก็ได้วางสายทิ้งโดยตรง
จุ๊บแจงโกรธจนย่ำเท้า อยากขว้างมือถือทิ้งแต่ก็เสียดาย สุดท้ายได้แต่วางมือลง แล้วเอามือถือใส่เข้าไปในกระเป๋า จากนั้นได้หันหน้าไปมองทิศทางที่นัทธีจากไปอีกครั้งด้วยความกล้ำกลืนและความเสียใจ ทีนี้ถึงก้มหน้าเดินจากไป
กลับมาถึงที่คอนโด จุ๊บแจงเพิ่งออกมาจากลิฟท์ พอเห็นกระเป๋าเดินทางของตัวเองถูกวางอยู่ที่ริมทางเดินแล้วได้มึนตึ๊บไปหมด
“นี่……นี่มันอะไรกัน?”จุ๊บแจงเบิกตากว้าง
กระเป๋าเดินทางของเธอมาอยู่ที่ข้างนอกได้ยังไง?
ใครเป็นคนเข้าไปเอากระเป๋าของเธอออกมา?
คงไม่ใช่มีโจรเข้าไปที่ห้องมั้ง?
จุ๊บแจงคิดแล้วหัวใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆขึ้นมา แววตามีความหวาดกลัวแว๊บผ่านเสี้ยวนึง
จากนั้นเธอได้จับกระเป๋าของตัวเองไว้แน่น แล้วเดินไปที่ประตูของคอนโด
ประตูของคอนโดได้เปิดทิ้งไว้ ด้านในยังมีเสียงของการพูดคุย เป็นเสียงของหญิงวัยกลางคนนนึง “งั้นก็ขอบคุณ คุรมารุตแล้วนะคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เสียงของผู้ชายดังขึ้น
คือมารุต!
พริบตาเดียวจุ๊บแจงก็ฟังออกแล้วว่าเป็นเสียงของมารุต สีหน้าเธอดีอกดีใจ พร้อมกับได้วางกระเป๋าในมือลง ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจก็ได้จางหายไปด้วย
ผู้ช่วยมารุตก็คงรู้ว่าที่นี่มีโจร จึงได้มาช่วยเธอจัดการแน่นอน
ในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ มีเสียงฝีเท้าก้องมา วินาทีต่อมา มารุตถือกระเป๋าเอกสารออกมาจากด้านใน พอเห็นจุ๊บแจงแล้วได้อึ้งก่อน จากนั้นได้หัวเราะทีนึง “คุณจุ๊บแจง คุณมาได้พอดีเลย ผมมีเรื่องจะบอกคุณว่า คุณ……”
“ผู้ช่วยมารุต จับโจรได้ยังคะ?”จุ๊บแจงรีบขัดจังหวะถามเขา
มารุตยักคิ้ว “โจร?โจรอะไรครับ?”
“ก็โจรที่เข้ามาขโมยของที่คอนโดฉันไง ไอ้โจรนั่นยังได้เอากระเป๋าของฉันไปโยนทิ้งไว้ที่ริมทางเดินด้วย เลวจริงๆ!”จุ๊บแจงกำหมัดแน่น พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อคววามไม่เป็นธรรม
ในที่สุดมารุตก็เข้าใจสักที แววตามีความเหน็บแนมแว๊บผ่าน เขาขยับแว่นตาแล้วพูด:“คุณจุ๊บแจงคงเข้าใจผิดแล้วครับ ที่นี่ไม่ได้มีโจรครับ”
“ไม่มีโจรเข้ามาในคอนโด?”จุ๊บแจงอึ้งค้างไว้ “แล้วกระเป๋าพวกนี้ของฉัน……”
“ผมให้คนเอาออกมาทิ้งเอง” มารุตพูดจาเรียบเฉย
จุ๊บแจงสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมเงยหน้ามองเขาอย่างเหลือเชื่อ “คุณ?ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย?”
ในใจเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและความกระวนกระวาย
มารุตตอบ:“นี่เป็นคำสั่งของท่านประธานครับ ท่านประธานบอกแล้วว่าในเมื่อท่านประธานได้คืนบุญคุณไปเรียบร้อยแล้ว งั้นก็ไม่ติดค้างคุณจุ๊บแจงอะไรแล้ว เพราะฉะนั้นคอนโดห้องนี้ก็ควรจะเก็บคืนมาแล้ว ผมก็เลยมายกเลิกสัญญ่เช่ากับเจ้าของห้อง แถมยังเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้กับเจ้าของห้องชุดนึงฟรีๆด้วย”
เขาตบเอกสารที่อยู่ในมือแล้วพูด
จุ๊บแจงหนาวไปทั้งตัวจนริมฝีปากซีด “ทำไม?ทำไมพวกคุณต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย?”
เธอเค้นถามเสียงดัง
สีหน้าของมารุตเย็นชา “นี่ล้วนต้องถามตัวคุณเองไม่ใช่เหรอครับ?ถ้าไม่ใช่ตัวคุณเองที่ทำลายบุญคุณที่ท่านประธานมีต่อคุณ คุณคิดว่าประธานจะทำแบบนี้กับคุณเหรอ?คุณรักประธานได้ เพราะในบริษัทคนที่รักท่านประธานมีอยู่ถมเถไป คุณผู้หญิงก็รู้ แต่คุณผู้หญิงไม่เคยไม่พอใจเลย คุณรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร?”
ริมฝีปากของจุ๊บแจงขยับ สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “เพราะ……เพราะอะไร?