พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 677 มารุตกลับมา
ลูกกระเดือกพงศกรขยับเล็กน้อย“ผมรู้”
ตอนนั้น ญาติทุกคนของตระกูลอิสริยานนท์ ก็ตัดสัมพันธ์กับพวกเขาฝ่ายเดียว
ครอบครัวเขา อยากไปหาญาติพวกนั้นก็ทำไม่ได้ เพราะญาติพวกนั้นกลัวจะเหนื่อยไปด้วยเพราะครอบครัวพวกเขา ดังนั้นเลยหายหัวไปเลย
และยังมีญาติบางคน ยังจะจับพวกเขา ไปส่งให้องค์กรนั้นอีก อยากดูว่าแลกกับเงินมาได้ไหม
ถ้าไม่ใช่ว่าพ่อแม่พยายามขับไล่ญาติพวกนั้นไปอย่างหนัก ครอบครัวเขาคงถูกส่งไปที่องค์กรนั้น โดยญาติพวกนั้นแล้วจริงๆ และคงถูกฆ่าไปแล้ว
ครอบครัวเขายืดชีวิตอยู่ต่อได้อีกช่วงหนึ่ง ภายใต้การค้นหาขององค์กร โดยมาจากความช่วยเหลือของตระกูลจิรดำรงค์จริง
“ในเมื่อนายรู้ งั้นนายควรคิดให้ดี ถึงพวกคุณอาไกรวิชญ์จะผิด แต่ก็ควรได้รับการยกโทษ นายไม่สามารถมองคนธรรมดาสองคนนั้น เป็นคนยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบ ที่สมบูรณ์แบบจนเล่นงานองค์กรใหญ่นั้นได้ ซึ่งนั่นเป็นไปไม่ได้ และนายเคยคิดไหมว่า การตายของพ่อแม่นาย บางทีนอกจากนายแล้ว พวกคุณอาไกรวิชญ์ก็รู้สึกใจสลายเช่นกัน?พวกเขารู้ว่าตัวเองไม่ระวังตัวเลยทำเพื่อนของตัวเองตาย ในใจจะคิดอย่างไรล่ะ?”
ริมฝีปากบางๆของพงศกรเม้มแน่น ไม่พูด
วารุณีสูดหายใจลึกๆ “ฉันบอกนายละกัน พวกเขาก็จะโทษตัวเอง รู้สึกผิด ไม่ให้อภัยตัวเองไปทั้งชีวิต นายไม่ได้เจอพวกคุณอาไกรวิชญ์มาสิบกว่าปีแล้วใช่ไหม?นายรู้ไหมตอนฉันเจอพวกเขาครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง?ผมขาวไปหมด ใบหน้ามีริ้วรอย ปีนี้พวกเขาเพิ่งจะห้าสิบสอง แต่ดูเหมือนเจ็ดสิบ แก่กว่าคนรุ่นเดียวกันเยอะมาก นายรู้ไหมอะไรทำให้เป็นแบบนี้ ความรู้สึกผิดไง หลายปีมานี้ พวกคุณอาไกรวิชญ์ รู้สึกผิดตลอดเวลา”
ตอนแรก เธอแค่แปลกใจว่าทำไมพวกคุณอาไกรวิชญ์ ถึงได้แก่กว่าคนรุ่นเดียวกัน และก็ถามสาเหตุ แต่พวกคุณอาไกรวิชญ์ไม่ยอมพูด
แต่เป็นปาจรีย์ที่บอกเธอภายหลัง หลังจากความคับแค้นใจของตระกูลจิรดำรงค์กับพงศกร ถึงรู้สาเหตุว่าทำไมพวกคุณอาไกรวิชญ์ถึงแก่มากอย่างนี้
ดังนั้นเธอเลยรู้สึกแย่
พงศกรได้ยินวารุณีพูดว่าสามีภรรยาตระกูลจิรดำรงค์แก่กว่าคนรุ่นเดียวกันเยอะเลย รูม่านตาก็อดไม่ได้ที่จะหดลง
ตรงนี้ เขาไม่รู้จริงๆ
เพราะว่าเขาไม่ได้เจอสามีภรรยาคู่นั้นสิบกว่าปีแล้วจริงๆ และก็ไม่อยากเจอด้วย
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นไงบ้าง
“พงศกร ฉันบอกนายเยอะอย่างนี้ ก็แค่อยากบอกนายว่า นอกจากพวกคุณอาไกรวิชญ์จะต้องได้รับการยกโทษแล้ว ที่สำคัญก็คือ หวังว่านายจะหยุดใช้ชีวิตกับความเกลียดชังในอดีต คนที่นายควรแก้แค้นจริงๆ เป็นฆาตกร ไม่ใช่พวกคุณอาไกรวิชญ์ นายเข้าใจไหม?และฉันเชื่อว่า ถ้าพ่อแม่นายมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องไม่โทษพวกคุณอาไกรวิชญ์แน่ เพราะว่าทุกคนต่างคิดได้ ว่าเรื่องนี้ที่จริงแล้วโทษพวกคุณอาไกรวิชญ์ไม่ได้เลย เป็นนายที่สุดโต่งเกินไป ดื้อรั้นเกินไป พงศกร ฉันหวังว่านายจะคิดดีๆ”
พูดจบ วารุณีก็วางสาย
นัทธีออกมาจากห้องน้ำ บนตัวสวมชุดคลุม ในมือถือผ้าขนหนู กำลังเช็ดผมไป พร้อมกับก้าวเท้ายาวมาที่เธอ ใบหน้าหล่อเหลานั้นหม่นลงไป น้ำเสียงก็ดูกระแหนะกระแหน“คุณพูดโน้มน้าวคนเก่งจริงนะ”
วารุณีมองเขา“ทำไม หึงเหรอ?”
นัทธีส่งเสียงฮึดฮัด ไม่พูดอะไร
วารุณีโบกมือให้เขา“มานี่”
“อะไร?”ถึงนัทธีไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไร แต่ก็หยุดลงตรงหน้าเธอ
วารุณีคว้าคอเสื้อที่หน้าอกของเขา จากนั้นออกแรงดึงลงมา
คอนัทธีถูกเธอดึงลงไป เธอเงยหน้าขึ้น จูบไปที่ริมฝีปากของเขา“เป็นไงบ้าง ยังหึงอยู่ไหม?”
ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้น จะเห็นว่าอารมณ์ดีขึ้น“ก็พอได้ ไม่หึงชั่วคราว”
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปล่อยคอเสื้อเขาออก จากนั้นก็ค่อยๆดูปลง“ฉันทำแบบนี้ เพราะหวังว่าพงศกรจะออกมาจากความเกลียดชังเร็วๆ อย่าขังตัวเองไว้ในความเกลียดชัง ซึ่งไม่ดีต่อตัวเอง และตระกูลจิรดำรงค์ และก็ ปาจรีย์กับเขาล้วนแต่เป็นเพื่อนฉัน ฉันหวังจริงๆว่า พวกเขาจะไม่เกลียดกันไปทั้งชีวิต ทั้งๆที่เมื่อก่อนพวกเขาก็ดีต่อกัน”
“ถ้าไม่เห็นแก่ว่าพงศกรไปช่วยคุณกับลูกทั้งสอง ผมไม่ให้คุณเป็นห่วงเขาขนาดนี้แน่”นัทธีนั่งลงข้างเธอ
วารุณีหัวเราะ“ฉันรู้ว่าคุณจำพระคุณนี้ได้ ถึงได้กล้าพูดต่อหน้าคุณ แค่ไม่รู้ว่า คำพูดพวกนั้นที่ฉันพูด พงศกรจะฟังไหม”
ถ้าฟัง เกรงว่าไม่นานพงศกรจะคิดได้ แล้วปล่อยความเกลียดชังทุกอย่างที่มีต่อตระกูลจิรดำรงค์ กลายเป็นปล่อยวาง
ตอนนั้น พงศกรกับปาจรีย์ อาจจะมีพรหมลิขิตได้อยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าพงศกรไม่ฟัง งั้นชาตินี้พวกเขา ก็เกรงว่าจะไม่มีพรหมลิขิตต่อกัน
“ยาก!”นัทธีขยับริมฝีปากบางๆพูดออกมา“ถ้าพงศกรเป็นคนฟังคนพูดโน้มน้าว ก็คงไม่เกลียดชังตระกูลจิรดำรงค์มาสิบกว่าปีหรอก”
“ใช่ ฉันถึงเป็นห่วงไง”วารุณีถอนหายใจ
นัทธีมอบเธอ“เอาเถอะ ผู้ชายคนอื่นคุณเป็นห่วงให้น้อยหน่อย เป็นห่วงสามีคุณอย่างผมเถอะ ผมของผมยังเปียกอยู่ คุณเช็ดให้หน่อยสิ ไม่งั้นจะเป็นหวัดได้”
เขากลัวเธอจะปฏิเสธ จึงเอาผ้าขนหนูยัดใส่มือเธอ
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“ในห้องอุ่นขึ้นเยอะ ไม่ต้องเช็ดผมก็ไม่เป็นหวัดหรอก ฉันว่าคุณหึงนะ”
นัทธีหลับตาลง ทำท่าเหมือนผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
วารุณีกลอกตาใส่เขา จากนั้นยืนขึ้นมา เดินไปด้านหลังเขา เช็ดผมให้เขา
ส่วนนัทธี ก็ดูเพลิดเพลิน
วันถัดมา
สี่คนพ่อแม่ลูกกำลังกินข้าว
เวลาเกือบสิบวัน ครอบครัวกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง สำหรับเด็กทั้งสองคนแล้ว เป็นเรื่องที่มีความสุขมาก
เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่นัทธีกับวารุณีไปฮันนีมูน ไม่ได้พาลูกทั้งสองคนไปด้วย ถ้าวารุณีไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด บางทีตอนนี้ ทั้งสองอาจจะยังฮันนีมูนอยู่
งั้นเด็กทั้งสอง ก็ต้องรออีกยี่สิบกว่าวัน ถึงจะได้กินอาหารเช้ากับพวกเขา
ดังนั้นตอนนี้กินข้าวเช้าด้วยกันล่วงหน้ายี่สิบกว่าวัน เด็กทั้งสองคนจะไม่มีความสุขได้ไงล่ะ
ตอนที่สี่คนพ่อแม่ลูกกำลังพูดคุยยิ้มแย้ม เพลินกับความอบอุ่นของครอบครัว จู่ๆโทรศัพท์ของนัทธีก็ดังขึ้น
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นหยิบโทรศัพท์มาดู เห็นเป็นมารุตโทรมา ก็วางกาแฟในมือแล้วรับ“ฮัลโหล”
“ประธานครับ ผมเอง ผมมาถึงจังหวัดจันทร์แล้ว”ในสาย มารุตตอบกลับ
นัทธีก็ยังได้ยินเสียงรถของเขาด้วย คิดแล้วน่าจะอยู่บนถนน
“ดีมาก นวิยาล่ะ?”นัทธีหรี่ตาถาม
ได้ยินชื่อนี้ วารุณีก็ค่อยๆวางตะเกียบลง มองไปที่เขา
ถึงแม้อารัณไม่ได้หยุดกิน แต่หูเล็กๆนั้น ก็ค่อยๆยกขึ้น
“นวิยาก็อยู่ ตอนนี้ผมกำลังพานวิยาส่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลแก้วสุทธิ”มารุตพูด
นัทธีเงยคางขึ้น“ดีมาก ช่วงนี้ เธอได้ฟื้นมาบ้างไหม?”
“มีครับ พอหายไข้ก็มีฟื้นมาครั้งหนึ่ง แต่แป๊บเดียวก็หมดสติไปอีก หมอบอกว่า เพราะว่าปวดขามาก ดังนั้นจะมีสติไม่นานนัก”มารุตพยักหน้า
ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้น“ผมเข้าใจแล้ว ดูเธอให้ดี อย่าให้เธอตายก็พอ เจ็บก็เจ็บไป และอย่าให้เธอกินยาแก้ปวด”
เขาจะให้นวิยาเจ็บปวด
ยิ่งไปกว่านั้น ความเจ็บเล็กน้อยนี้จะแค่ไหนเชียว
เจ็บกว่าพ่อแม่เขา ที่โดนรถน้ำหนักหลายตัน วิ่งทับจากตัวทั้งๆที่มีชีวิตอยู่ไหม?
“วางใจเถอะครับประธาน ผมรู้ ไม่มีทางให้เธออยู่ดีแน่”มารุตพูดยิ้มๆ
นัทธีตอบอือ“เดี๋ยวถึงตระกูลแก้วสุทธิแล้วแจ้งผม ผมจะไป”
“ครับ”มารุตตอบ
นัทธีวางสาย วารุณีมองไปที่เขา“นวิยามาถึงแล้ว?”