พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 689 นวิยาตายแล้ว
นวิยาเอาเศษแผ่นกระจกแหลมจี้เข้าที่คอของตัวเอง ใบหน้ายิ้มราวกับคนเสียสติ มองที่นัทธี “ที่ฉันคิดเป็นยังไงบ้าง?ฉันบอกแล้ว ว่าโลกนี้ ไม่มีใครมาประหารชีวิตฉัน ฉันเองก็จะไม่ให้ใครมาครอบงำชีวิตฉันเหมือนกัน คนเดียวที่ฆ่าฉันได้ มีแค่ฉันคนเดียว”
เธอสูดหายใจ แล้วพูด “ฉันรู้ว่าที่ตัวเองร่วงมาถึงจุดนี้ในวันนี้ มีแค่ความตายเส้นทางเดียว เพราะฉะนั้นฉันเองก็จะไม่ให้นายมาครอบงำชีวิตฉัน ต่อให้ฉันตาย ก็จะตายในน้ำมือของตัวเอง ไม่ใช่น้ำมือของนายนัทธี เพราะฉะนั้นนัทธี นายยังคงแก้แค้นไม่สำเร็จเหมือนเดิม!”
พูดจบ นวิยาก็หัวเราะเยาะ แล้วแทงกระจกเข้าไปอย่างแรง แทงเข้าไปในคอตัวเอง
เธอแทงเข้าไปลึกมาก และออกแรงมาก
มารุตเห็นชัดเจน กระจกแผ่นนั้น เข้าไปแล้วสองเซนต์เป็นอย่างต่ำ เลือดสดนั้น พุ่งออกมาตามขอบกระจก ผ่านออกมาตามช่องว่างรัศมีวงกลม
และมือของนวิยา ก็ถูกเลือดร้อนอาบแดงไปทั้งมือ
เนื่องจากแผลที่ใหญ่เกินไป และเลือดที่ออกมาเยอะเกินไป ร่างกายของนวิยานจึงทรุดลงในไม่ช้า เอียงลาดลงบนเตียง มือที่กำกระจกอยู่ก็ไม่มีแรงกำอีกต่อไป ค่อยๆ คลายออก เป็นอัมพาตไปซีกหนึ่ง มีแต่เพียงแผ่นเศษกระจก ที่ยังคงเสียบแน่นอยู่บนคอ
แต่ดวงตาทั้งสองข้างเธอ กลับเบิกกว้าง จ้องไปที่เพดาน เรากลับเห็นรูเพดานทั้งสองเชื่อมต่อกัน
แต่ถ้าว่าสายตาของเธอนั้น กลับค่อยๆมืดมัวลง ไร้เรี่ยวแรง
ฉากนี้ เกิดขึ้นไวมาก ไวจนนัทธีและมารุตตะลึงไป
รู้สึกตัวอีกที นวิยา ก็ลงมือจัดการตัวเองไปแล้ว
มารุตเอามือปิดปากด้วยความตกใจ “ประธานครับ เธอ……”
ม่านตาของนัทธีสั่นเทา ไม่พูดอะไร แต่ก้าวเท้าไปที่เตียง
เมื่อเดินไปถึงเตียง เขาก็ก้มมองนวิยา
เลือดที่อยู่บนคอของนวิยา ยังคงไม่หยุดไหล ราวกับจะต้องไหลออกให้หมด
ตอนนี้ นัทธีรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเธอกำลังจะจากไป
สติของนวิยา ในตอนนี้เริ่มเบลอ แต่เธอยังสังเกตได้ว่านัทธีอยู่ข้างๆ
เธอไม่สามารถขยับได้ ไร้เรี่ยวแรง แล้วก็ไม่อยากขยับ เพียงแต่ใช้สายตาที่ไร้เรี่ยวแรงจ้องไปที่เพดาน แล้วพูดอย่างอ่อนแรง “นัทธี……ในฐานะที่ฉันกำลังจะตาย ฉันวานคุณอย่างหนึ่งได้ไหม?”
นัทธี ริมฝีปากบางขยับ เรากับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เปลือกตาของนวิยาเริ่มหนัก ตาที่จ้องมองเพดานอยู่ ก็เริ่มที่จะกะพริบ เหมือนว่าต้องการให้มันบอกว่า แต่ระหว่างที่กะพริบอยู่ ดวงตากลับยิ่งหรี่ลง สายตาที่มองเห็น ก็เริ่มมืดลง
ไม่เพียงแค่สายตา แม้แต่การได้ยิน ก็เริ่มได้ยินน้อยลง
เธอเองก็ไม่รู้ว่านัทธี ได้พูดอะไรหรือเปล่า ถือซะว่านัทธีพูดก็แล้วกัน
เธอหัวเราะเยาะตัวเอง ออกแรงหายใจแล้วพูด “ช่วยฉัน…… ช่วยฉันบอก พิชิต……พิชิตว่าขอโทษ ฉัน……ฉันรู้……ฉันรู้แล้วว่าคนที่ฉันรัก คือใคร……”
ตอนนี้ นวิยารู้ใจตัวเองตอนที่เจอพิชิตเมื่อสองวันก่อน ว่าทำไมใจถึงมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้นั้น
แล้วก็รู้แล้วว่าทำไมพิชิตถึงบอกว่าไม่รับเธอ และตอนที่บอกลาเธอนั้น เธอเองก็ลนลาน จนจิตตกไปแล้ว
ทั้งหมดก็เพราะว่าเธอรักเขาไง
คนที่เธอรัก คือพิชิต ไม่ใช่นัทธี!
แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรักพิชิตเข้าตอนไหน แต่เธอก็รักไปแล้ว และรู้ตัวเองว่าเมื่อก่อน ทำกับพิชิตมากเกินไปขนาดไหน ทำร้ายหัวใจเขาไปมากแค่ไหน
ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจทีหลัง เสียใจที่ทำไมไม่รู้ตัวเองให้ไวกว่านี้
ถ้าเธอรู้ใจตัวเองไว้กว่านี้ ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม?
ไม่สิ ต่อให้รู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้ ทุกอย่างก็จะยังคงเป็นแบบนี้ เพราะตอนเธอสิบขวบ เธอฆ่าพ่อแม่ของนัทธี ถึงต่อให้เธอรู้ว่าตัวเองรักพิชิตในภายหลัง นัทธีก็ไม่ปล่อยเธอไว้อยู่ดี
นวิยาดึงความโค้งที่มุมปากของเธอกลับมา “เหนื่อยจัง……”
เธอไม่ขัดขืน ไม่ได้ดิ้นรน แล้วหลับตาลง
ทันใดนั้น แสงสว่างตรงหน้าก็หายไป เหลือไว้เพียงความมืดดำ
ขนตานวิยาสั่นเทา หัวสมองก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ช้า ลมหายใจถี่ของเธอก็หยุดลง หน้าอกที่กระตุกขึ้นอย่างแรง ค่อยๆ นิ่งลง
มารุตมองที่นัทธี แล้วเดินขึ้นมาข้างหน้า ยื่นนิ้วๆหนึ่ง วางทาบตรงใต้จมูกที่ลมหายใจของนวิยา หลังจากนั้นก็รู้สึกตกใจ ชักนิ้วกลับอย่างแรง
“ประธานครับ เธอ……สัญญาณชีพไปแล้วครับ!” มารุตอ้าปาก พูดเสียงต่ำ
นัทธีมีสายตาคลุมเครือเล็กน้อย แล้วตอบรับ “ฉันรู้แล้ว”
“แบบนี้จะดีเหรอ ?” มารุตตรงที่เขา “ตอนแรกว่าจะทรมานเธอสักหน่อย แต่……ไม่คิดเลยว่า เธอจะฆ่าตัวตาย เป็นแบบนี้แล้ว มันก็ไม่ใช่อย่างที่เธอพูด ไม่เรียกว่าแค้นใช่ไหม?”
นัทธีกำหมัดสองข้างแน่น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาแบบนี้
แต่ไม่พอใจแล้วทำไงได้?
คนก็ตายไปแล้ว เขาสามารถช่วยชุบชีวิตคนที่ตายได้หรือไง?
หรือจะ โบยศพ?
ขอโทษนะ เขาไม่ใช่พวกวิปริต!
“เอาแบบนี้แหละ” นัทธีมองที่ นวิยา
ถึงแม้จะไม่ถึงนับว่าเป็นการแก้แค้นให้พ่อกับแม่ด้วยมือตัวเอง แต่นวิยาก็ได้ตายไปแล้ว ความเคียดแค้นนี้ ก็ควรจะปล่อยวางได้แล้ว
คิดอยู่ นัทธีก็เอื้อมมือ ไปคว้าผ้าห่ม และยกขึ้นอย่างแรง
ผ้าห่มแผ่ออกกลางอากาศ แล้วคลุมไปที่ร่างของนวิยา
นัทธีหันกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ไปเถอะ แล้วให้คนเข้ามาจัดการที่นี่”
“ครับ” มารุตพยักหน้า และเดินตามหลังเขาไป
ทั้งสองที่เพิ่งลงมาข้างล่าง ก็เห็นวารุณีที่เข้าจากข้างนอก
วารุณีสาวเท้าไวมาข้างหน้า “นัทธี คุณ……”
เธอที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง ก็เห็นคราบเลือดบนมือของนัทธี เธอมองอย่างมึนงง “นัทธี คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
นัทธีก้มลงมองตามสายตาของเธอ แล้วส่ายหัว “ไม่ นี่ไม่ใช่เลือดผม”
“แล้วเลือดใคร?”
“เลือดนวิยา” นัทธีตอบ
น่าจะเป็นตอนที่เขาจับผ้าห่ม แล้วบังเอิญไปโดน
วารุณีตกใจ “เลือดนวิยา?คุณคงไม่ได้……”
“เปล่า” นัทธีส่ายหัว
วารุณีตบเข้าไปตรงหน้าอก “ฉันตกใจหมด ฉันนึกว่าคุณทำเธอ……”
“แต่เธอตายแล้ว” นัทธีตัดบทเธอ
วารุณีสมัครทันทีท่าน สักพักพูดขึ้น “อะไรนะ?ตายแล้ว?คุณไม่ได้ทำอะไรเธอไม่ใช่หรอ?เธอจะ……”
“คุณผู้หญิงครับ เธอฆ่าตัวตาย” ขณะที่มารุตพูดขึ้น
วารุณีพูดขึ้นอย่างงงๆ “ฆ่าตัวตาย?เพราะอะไร?”
“นวิยารู้ว่าตัวเองอยู่ต่อไปไม่ได้ แล้วก็รู้ว่าประธานคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เหมือนกัน เทยเลยเก็บเศษกระจกแหลมไว้ แล้วฆ่าตัวตาย”
ทันทีหลังจากนั้น มารุตก็นำเหตุการณ์ตอนนั้น รวมถึงบทสนทนาทั้งหมดพูดออกมา
วารุณีฟังเสร็จ จากอาการตกใจก็นิ่งลง แล้วก็ถอนหายใจในที่สุด “เธอเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น นวิยาเป็นคนหยิ่งผยอง และชอบตำหนิคนอื่น คนแบบนี้ ไม่ยอมให้คนจัดการตัวเองหรอก เธอเลยจัดการตัวเอง เป็นเรื่องปกติ ฉันเองก็นับถือเธอเหมือนกัน ยังไงซะก็ไม่ใช่ทุกคน ที่จะมีความกล้าขนาดนี้ เพียงแต่ว่าเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว นัทธี การแก้แค้นของคุณ กลายเป็นเรื่องตลกแล้วแหละ ”
“ผมรู้ แต่คนตายไปแล้วก็จบ เอาแบบนี้แหละ” นัทธีพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
วารุณีพยักหน้า “ก็มีอยู่ทางเดียว”
หลังจากนั้น เธอเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน บอดี้การ์ดทั้งสองเข้าๆออกๆห้องของนฆาตกรยา ยุ่งวุ่นวายไปหมด
ยุ่งอะไรกันอยู่ วารุณีสามารถเดาออกได้คร่าวๆ แล้วรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองต่อ
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นศพของนวิยา แต่ก็รู้ว่าศพของเธออยู่ด้านบน ในใจก็รู้สึกกลัวมากอยู่เหมือนกัน