พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 693 พิชิตอยากตาย
เมื่อได้ยินที่ป้าส้มพูด วารุณีก็หัวเราะเบาๆ “นั่นสินะคะ ฉันเข้าใจค่ะ”
เด็กที่เก่ง ก็มักจะมีพ่อแม่มาหยิบไปเปรียบเทียบกับลูกบ้านตัวเอง ลูกของตัวเอง แม้ตอนแรกจะชอบนัทธี ท้ายสุดก็จะกลายเป็นนัทธี นัทธีเลยไม่มีเพื่อน เป็นเรื่องปกติ
“ยังไม่หมดนะคะ เพราะว่าคุณผู้ชายเก่งเกินไปลูกคนอื่นก็เลยรวมตัวกันแกล้งคุณผู้ชายค่ะ แต่ถูกคุณผู้ชายคนเดียวเก็บเรียบเลยค่ะ หลังจากนั้น พวกลูกคนอื่น ก็ไม่กล้าเข้าใกล้คุณผู้ชายอีกเลยค่ะ พอเห็นคุณผู้ชาย ก็อย่างกับหนูเจอแมวเลยค่ะ ขนาดคุณผู้ชายยังเคยพูดเลยค่ะ เล่นกับลูกคนอื่นๆ เหมือนเขากำลังมองลิงที่ยังไม่วิวัฒนาการ” ป้าส้มป้องปากขำ
วารุณีเองก็ขำจนน้ำตาเล็ด “ลิงที่ยังไม่วิวัฒนาการ ฮ่าๆๆ เขามีพรสวรรค์เกินมาก จนเปรียบเทียบ แบบนี้กับคนที่รุ่นเดียวกัน ”
“ถึงแม้ว่าเขาจะเปรียบเทียบเกินไปหน่อย แต่สำหรับคุณผู้ชายมาแล้ว พวกเขาอยู่ห่างจากเขามากจริงๆ ก็เหมือนลิงไม่ใช่เหรอ?”
วารุณีเชิดคาง “พูดถูกค่ะ แล้วคุณหมอพิชิตมาเป็นเพื่อนกับนัทธีได้ยังไงกันคะ?”
เรื่องนี้ แค่อยากรู้
“คุณหมอพิชิตน่ะ เด็ดเดี่ยวนะ” ป้าส้มเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย หวนนึกถึงอดีตแล้วพูด “คุณหมอพิชิตคือเด็กคนเดียวที่ไม่กลัวคุณผู้ชาย เขาชื่นชมคุณผู้ชายมากน่ะค่ะ เด็กคนอื่นกลัวคุณผู้ชายกันหมด กลัวจะบ้าตาย มีแค่เขา ที่ไม่ใช่แค่ไม่กลัว แถมยังวิ่งตามคุณผู้ชายทุกวัน ถึงแม้ว่าคุณผู้ชายจะโตกว่าวัย แต่ก็ไม่ได้จองหองที่จะเล่นเหมือนเด็กทั่วไป แต่ในตอนนั้น ยังไงเขาก็เด็กเป็นคนหนึ่ง แต่เป็นอย่างนั้นมาเรื่อยๆ คุณผู้ชายเองก็เริ่มคุ้นชินกับคุณหมอพิชิต เรื่อยๆ จนกลายเป็นเพื่อนกับคุณหมอพิชิต”
วารุณีเสยผม “แบบนี้นี่เอง”
“พูดถึง ความจริงฉันเองก็ต้องขอบคุณคุณหมอพิชิต ถ้าไม่ใช่เพราะเขา คุณผู้ชายตั้งแต่เด็กจนโต ก็คงไม่มีเพื่อนเลยสักคน ไม่แน่คงจะนิสัยเย็นชามากกว่านี้” ป้าส้มพูด
วารุณีนัยน์ตา,นัยนาเป็นประกาย
เรื่องนี้ เธอเห็นด้วย
“คุยเยอะแล้ว คุณผู้หญิง ป้าไม่รบกวนคุณแล้วค่ะ ป้าไปก่อนนะคะ” ป้าส้มดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว แล้วก็ไม่คิดจะคุยต่อ
วารุณียิ้มแล้วยื่นแก้วนมเปล่าออกไป “ค่ะ ป้าส้มเดินดีๆ นะคะ ป้าเองก็รีบพักผ่อนเถอะค่ะ”
“ค่ะ ” ป้าส้ม เดินออกไปพร้อมกับยิ้มแห้ง
โรงพยาบาลรุ้งจรัส เมื่อนัทธีมาถึง มารุตก็กำลังรอเขาอยู่หน้าประตูใหญ่ ของโรงพยาบาล
เมื่อเห็นว่ารถของเขามาแล้ว ก็รีบลงจากบันได “ประธานครับ ”
“พิชิตล่ะ?” นัทธีโยนกุญแจไปให้เขาแล้วถาม
มารุต เดินตามหลังเขาเข้าไปในโรงพยาบาล “คุณหมอพิชิตอยู่ที่ห้องเก็บศพครับ”
“อยู่นานเท่าไหร่แล้ว ?” นัทธีหรี่ตา
มารุตคิด “ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วครับ ผมมาถึงเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนมาถึงผมก็เข้าไปถามคนดูแลห้องเก็บศพ คุณหมอพิชิตเข้าไปก่อนผมมาถึงไม่กี่นาทีครับ”
ปกติแล้ว นอกจากแพทย์นิติเวชของตำรวจกับคนดูแลห้องเก็บศพแล้ว คนที่มาเยี่ยมศพผู้เสียชีวิต จะไม่สามารถอยู่ห้องเก็บศพนานเกินไป
อย่างแรกเลยคือกลัวว่าจะมีคนมาจับดัดแปลงศพ อย่างที่สองห้องดับจิตนั้นเย็นเกินไป สามารถทำให้คนหนาวจนจับไข้ได้
ดังนั้นเมื่อนัทธีได้ยินว่าพิชิต เข้าไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาดูไม่ได้ทันที
เมื่อมาถึงประตูห้องเก็บศพ นัทธี ก็ยืนฟังอยู่หน้าประตูสักพัก เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาจากด้านใน ก็หรี่ตาลง แล้วหันหลัง สั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลสองคนที่อยู่ข้างหลังมารุต “พวกนายเข้าไป เอาคนที่อยู่ข้างในออกมาฉัน”
“ครับ” รปภ.ทั้งสองพยักหน้า แล้วผลักประตูห้องเก็บศพเข้าไป
วันที่พวกเขามา โรงพยาบาลให้สั่งไว้ว่า ให้ฟังนัทธี
ดังนั้นนัทธีสั่งอะไรไป พวกเขาก็ต้องทำตาม
ไม่นาน ก็มีเสียงดังออกมาจากห้องดับจิต เสียงของพิชิตที่ร้องคำรามเพราะความโกรธ “ปล่อยฉัน พวกนายปล่อยฉันนะ ฉันไม่ออก ปล่อยฉัน!”
ไม่มีใครฟังเขา
ไม่นาน พิชิตก็ถูกรปภ.หิ้วปีกออกมาคนละข้าง
หลังจากที่รปภ.ทั้งสองปล่อยเขา ร่างกายของเขาก็ชาจนล้มคว่ำลงพื้นทันที ไม่สามารถยืนขึ้นตรงได้
มารุตตกใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
นัทธีเม้มปากเป็นเส้นตรง “ขานาย……”
รปภ.ทั้งสองกลัวพวกเขาจะเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พิชิตยืนไม่ได้ จึงรีบอธิบาย “คืองี้ครับประธานนัทธี คุณหมอพิชิตอยู่ในห้องดับจิตนานเกินไป ตอนนี้พวกเราเข้าไป เขาก็นั่งแบบนี้อยู่บนพื้นเย็นข้างเตียง ขาเลยเย็นจนชาครับ เลยยืนไม่เที่ยง รอสักพักให้ร่างกายอุ่นขึ้น เลือดกลับมาวิ่งก็ไม่เป็นไรแล้วครับ”
“แบบนี้นี่เอง” มารุตพูด
ปากบางของนัทธีที่เม้มแน่นก็คลายลง
เขานึกไปแล้วว่า เกิดอุบัติเหตุกับขาของพิชิตซะแล้ว
รปภ.ทั้งสองพยักหน้า “ครับ เพราะที่โรงพยาบาลมีคนตายทุกวัน และก็มีครอบครัวมาเยี่ยมที่ห้องดับจิตทุกวัน พบเรื่องแบบนี้ประจำครับ”
นัทธีก้มหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว พวกนายไปยืนอยู่อีกฝั่งก่อนเถอะ”
“ครับ” รปภ.ทั้งสองตอบกลับ แล้วรีบเดินออกไปด้านข้าง
นัทธีก้มหน้า มองที่นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น พิชิตที่เหมือนกับศพเดินได้ คิ้วขมวดเป็นสามขีด
“พิชิต นายดูสภาพตัวนายเองตอนนี้สิ เหมือนกับอะไร?”
พิชิตยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย แล้วกลับมาละห้อยอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ก็ไม่มีปฏิกิริยาอย่างอื่นตอบกลับมาอีกแม้แต่นิด เรากลับเป็นร่างไร้วิญญาณจริงๆ สภาพดูไม่ได้ ท่าทางเหมือนกับคนใกล้ตาย
ท่าทางแบบนี้ ก็กระตุ้นใจนัทธีให้โมโหขึ้นมา
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า เมื่อยกเท้าขึ้นก็เห็นได้ว่าเขาจะเตะลงพื้น
พิชิตถูกนัทธีถีบเข้าให้ ร่างบนพื้นไถลไปอย่างน้อยสองเมตร ผ่านไปนานก็ลุกไม่ขึ้น ได้แต่นอนหงายห่อหน้าอกอยู่ แล้วไอออกมาอย่างแรง
ฉากนี้ ไม่ได้ทำให้แค่มารุตตะลึงงัน รปภ.สองคนที่อยู่ไม่ไกลก็ตะลึงกันเช่นกัน
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าชายที่ดูมีเกียรติสูงส่งสง่าแบบนี้ จะรุนแรงขนาดนี้ ทักทายแค่สองคำยังไม่ทัก ตรงดิ่งเข้าถีบเข้าให้ทันที
เมื่อมองไปที่หมอที่ถูกถีบกระเด็นคนนั้น เห็นได้ว่าชายสง่าคนนี้ ออกแรงมากแค่ไหน
“แค๊กๆ ……นัทธี นาย……” พิชิตเงยหน้ามองนัทธีอย่างมิอยากจะเชื่อ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงเลย ว่านัทธีจะลงไม้ลงมือกับเขา
นัทธีเก็บเท้า หลับตาและพูดอย่างเย็นชา “พิชิต นวิยาตายไปแล้ว สภาพนายแบบนี้ ทำไม นายเองก็วางแผนจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว อยากตามเธอไปใช่ไหม?”
พิชิตสีหน้าเปลี่ยน “ฉัน……”
“ดูแล้ว นายคิดแบบนี้จริงๆ นี่” นัทธีก้าวเท้าไปข้างหน้า และเตะเขาอีกครั้ง
เพียงเพราะนวิยาคนเดียว ทำให้เขาอยากตายตามไปด้วย
เขารักนวิยาขนาดนี้ รักจนไม่ต้องการพ่อแม่ อยากไปอยู่กับนวิยาเหรอ?
ไม่ง่ายเลยที่พิชิตจะห่อหน้าอกลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้ก็ล้มลงพื้นอีกครั้ง ปวดท้อง เหมือนท้องไส้กำลังปั่นป่วน
ใช่ เท้าแรก นัทธีเตะเข้าที่หน้าอก เท้านี้ นัทธี เตะเข้าที่ท้องของเขา
พิชิตบิดตัว ร้องว้าว แล้วถ่มกรดเปรี้ยวออกมา น้ำตาก็ไหลออกมาด้วย
แต่นัทธียังไม่ปล่อยเขาไป เหยียบเข้าที่กลางหน้าอกของเขา ทำให้เขาขยับไปไหนไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหัวลง มองเขาอย่างเหยียดหยาม น้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก “พิชิต นายอยากตายได้นะ ฉันไม่ห้าม แต่ก่อนที่นายจะตาย นายจัดการเรื่องอนาคตของพ่อแม่ไหนเรียบร้อยก่อน อย่าให้สุดท้าย ให้ฉันที่เป็นคนนอกต้องมาดูแลพ่อแม่นาย อยู่เก็บศพพ่อแม่นายก่อน”
เมื่อได้ยิน พิชิตก็เบิกตากว้าง “พ่อ แม่……”
ไม่มองเขาที่เป็นแบบนี้ นัทธี ก็หรี่ตาลง “ทำไม?มองนายแบบนี้แล้ว ไม่ต้องบอกฉันหรอก นายลืมนึกถึงพ่อกับแม่ล่ะสิ?”