พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 701 ความหวาดระแวงของปาจรีย์
ตั้งแต่คราวที่แล้วหลังจากที่ปาจรีย์บอกเขาว่าใครคือฆาตกรตัวจริง จากนั้นก็พูดบางอย่างว่าจะเชยใช้ให้เขา
เขาอยากรู้มากๆ ว่าเธอจะชดเชยยังไง ดังนั้นจึงส่งคนคอยช่วยเขาตามดูปาจรีย์มาโดยตลอด
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านมาไม่กี่วัน ปาจรีย์ก็กลับไปหาพ่อแม่ ในทุกๆ วันหากไม่ซื้อ ซื้อ ซื้อ ก็อยู่แต่ในบ้านไม่ออกมา ไม่ได้มีเจตนาที่จะชดเชยให้เขาเลยสักน้อย
ดังนั้น คำพูดของเธอในตอนนั้น พูดได้จริงจังขนาดนั้น ตอนนี้ก็น่าตลกขนาดนั้นเช่นกัน
อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็พูดแต่ว่าชอบเขา รักเขาไม่ใช่เหรอ?
ผลเป็นยังไงล่ะ ตอนนี้กลับใกล้ชิดกับผู้ชายอีกคนขนาดนั้น ยังออกมาจากบ้านพร้อมกัน พูดคุยหยอกล้อกัน นี่ก็คือคำว่าชอบ คำว่ารักจากปากของเธอเหรอ?
ช่างน่าตลกที่สุด!
พงศกรจับโทรศัพท์แน่น สีหน้าแย่มากๆ ผ่านไปนานมากจึงจะสูดหายใจลึกแล้วเงียบสงบลง พูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องตามแล้ว นายกลับสำนักงานของตนเองเถอะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบของใหม่เบื่อของเก่า เป็นสาวที่ใจง่าย เขาไม่จำเป็นต้องสนใจแล้ว
วางสาย พงศกรหันหลัง เดินเข้าไปในเงา
ภายในประเทศ ปาจรีย์และรพีจะเข้าห้างสรรพสินค้า พึ่งเดินถึงหน้าประตูห้าง จู่ๆ เธอก็หยุดก้าวเท้า หันไปมองข้างหลังด้วยความสงสัย
รพีเห็นสีหน้าของเธอ ถามขึ้นว่า “เป็นอะไร?”
“เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังแอบมองพวกเรา แล้วยังถ่ายรูปด้วย” ปาจรีย์ขมวดคิ้วแล้วพูด
รพีได้ยินแล้วก็หรี่ตาลง “แอบมองถ่ายรูป?”
“อื้ม มีความรู้สึกแบบหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ช่างเถอะ ไม่ว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปกันเถอะ” ปาจรีย์ยิ้ม
ยังไงก็ตามเธอไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ปล่อยให้คนในที่ลับมองเถอะ
ในที่ลับอาจจะไม่มีคนก็ได้ เธออาจจะคิดมากไปจริงๆ ก็ได้
รพีเห็นปาจรีย์ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ พยักหน้าเบาๆ “โอเค ไปเถอะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
และผู้ชายที่ใส่เสื้อคลุม สวมหมวกในที่ลับเดินออกมา โล่งอกไปที “ผู้หญิงคนนี้มีความหวาดระแวงเกินไปแล้ว เกือบจะถูกจับได้แล้วเนี่ย ช่างเถอะช่างเถอะ ไปแล้ว ยังไงก็ไม่ต้องตามต่อแล้ว”
ผู้ชายหันหลัง หยุดรถข้างทางไว้หนึ่งคัน ขึ้นรถแล้วจากไป
จังหวัดจันทร์ ขณะนี้วารุณีได้รับสายจากคุณแม่ปารวี บอกสถานการณ์ของปาจรีย์ให้กับเธอ
“วารุณี เมื่อกี้น้าถามมาแล้ว ปาจรีย์มีความผิดปกติจริงๆ และมีเรื่องในใจเล็กน้อย แต่ว่าเธอไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งน้าที่เป็นแม่ก็ไม่ยอมบอก” คุณแม่ปารวีถอนหายใจอย่างจนปัญญา
วารุณีขมวดคิ้วแน่น “แม้กระทั่งคุณน้าก็ไม่ยอมบอก?”
งั้นดูเหมือนว่าเรื่องราวจะหนักจริงๆ แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่ยอมบอก งั้นเรื่องที่เกิดขึ้น ต้องเป็นเรื่องที่ห้ามพูดออกมาแน่นอน
หากพูดออกมาแล้ว อาจจะเกิดปัญหามากมายกับปาจรีย์ได้
“ใช่แล้ว ดังนั้นตอนนี้น้าก็ปวดหัวมาก เป็นห่วงว่าปาจรีย์จะก่อเรื่องอะไรไว้ที่ข้างนอก พอถึงเวลาแล้วพวกน้าที่เป็นพ่อแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้” คุณแม่ปารวีพูด
วารุณีพยักหน้า “คือแบบนี้ค่ะ หนูก็คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ”
“ดังนั้นวารุณี หนูช่วยน้าสืบหน่อยได้ไหมว่าปาจรีย์เจอเรื่องอะไรมากันแน่? น้าได้ยินปาจรีย์บอกว่า ความสามารถของสามีหนูไม่น้อยเลย ให้เขาสืบให้หน่อย น่าจะง่าย หากไม่ใช่เพราะน้าและอาไม่มีความสามารถ น้าก็ไม่มารบกวนหนูหรอก” คุณแม่ปารวีพูดร้องขอ
วารุณีรีบโบกมือ “คุณน้าอย่าพูดแบบนี้ค่ะ เรื่องนี้ไม่ต้องให้น้าพูด หนูก็จะไปสืบค่ะ ปาจรีย์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของหนู หนูจะมองดูเธอเกิดเรื่องได้ยังไงคะ ดังนั้นวางใจได้ค่ะ มีข่าวแล้วหนูจะรีบบอกคุณน้ากับคุณอาแน่นอนค่ะ”
พ่อแม่บนโลกใบนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ
เพื่อปาจรีย์ คุณแม่ปารวีที่เป็นผู้ใหญ่ ก็สามารถวางท่าทีลงมาร้องขอกับเธอที่เป็นรุ่นเด็กแล้ว
ดังนั้นเธอหวังจริงๆ ว่าปาจรีย์จะไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่อะไรที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่เช่นนั้นปาจรีย์จะรู้สึกผิดมากๆ กับการโค้งคำนับของพ่อแม่
“ได้ได้ได้ งั้นก็รบกวนหนูแล้วนะวารุณี” คุณแม่ปารวีพูดอย่างดีใจ
วารุณียิ้ม “ไม่เป็นค่ะ งั้นคุณน้า หนูวางก่อนนะคะ”
“โอเค” คุณแม่ปารวีพยักหน้า
วารุณีวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาเดินออกจากห้องสำนักงาน พูดกับผู้ช่วยที่อุ้มเอกสารเดินมาว่า “ของใส่ไว้บนโต๊ะฉัน ตอนนี้ฉันมีเรื่องจะต้องไปที่สำนักงานของนักสืบ ดังนั้นหลังจากนี้หากมีเรื่องอะไร โทรหาฉัน”
“ได้ค่ะ” ผู้ช่วยตอบรับ
วารุณีเดินผ่านเธอไป ออกจากบริษัท ขับรถตรงไปทางสำนักงานนักสืบ เตรียมตัวหานักสืบคนหนึ่งมาสืบเรื่องที่เกิดขึ้นกับปาจรีย์ในช่วงนี้ ดูว่าเจออะไรมากันแน่
ณ กลางคืน กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์
ครอบครัวสี่คนกำลังทานอาหารเย็นที่โต๊ะอาหาร จู่ๆ นัทธีก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าเธอไปหานักสืบ?”
วารุณีมองเขาด้วยความตะลึงงัน “นายรู้ได้ยังไง?”
“ในตอนที่เธอออกจากบริษัทช่วงเย็น ฉันไปหาเธอที่บริษัท ผู้ช่วยเธอบอกฉันเอง” นัทธีดื่มชาไปหนึ่งคำแล้วตอบกลับ
วารุณีพยักหน้า “อย่างนี้เหรอ ใช่แล้ว ตอนเย็นฉันไปมา”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” นัทธีถาม
เขาถามอย่างเฉยชามาก ไม่ตื่นเต้นและกังวลเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าเขาไม่ได้เห็นความรนบนใบหน้าของเธอ ดังนั้นเดาว่าเรื่องน่าจะไม่ใหญ่
วารุณีวางตะเกียบในมือลง “คือปาจรีย์ วันนี้ตอนที่ฉันไปบริษัท พึ่งเห็นว่าปาจรีย์นำงานทั้งหมดที่อยู่ในมือ รวมถึงใบลาออกส่งออกไปหมดแล้ว นี่ชัดเจนเลยว่าตัดสินใจจะออกจากบริษัทแล้ว ดังนั้นฉันจึงติดต่อกับปาจรีย์ ถามเธอว่าทำไมต้องทำแบบนี้ อย่างไรก็ตามปาจรีย์ไม่ยอมบอก แค่ร้องไห้ จากนั้นฉันก็โทรหาคุณแม่ของปาจรีย์ แล้วได้รู้ว่าอาการของปาจรีย์ที่อยู่บ้านในช่วงนี้ก็ไม่ปกติ ดังนั้นฉันเดาว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นกับปาจรีย์แน่นอน”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” นัทธีพยักหน้า “แล้วสืบออกมาหรือยัง?”
วารุณีส่ายหัว “ยังเลย ทางสำนักงานนักสืบ ยังไม่โทรหาฉัน”
นัทธีอื้มไปคำหนึ่ง “มีอะไรให้ช่วย ก็บอกฉัน”
ปาจรีย์คือเพื่อนของเธอ และดูแลเธอมามากมาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอหายตัวไป เขามัวแต่ตามหาเธอ หลักๆ แล้วปาจรีย์ก็เป็นคนดูแลเด็กทั้งสอง
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้สึกหรือด้านเหตุผล เขาก็จะช่วยปาจรีย์
“ฉันรู้ แต่ว่าตอนนี้ให้ที่สำนักงานสืบก่อนเถอะ อาจจะไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไร แต่แค่ปาจรีย์ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่แน่” วารุณีพูด
นัทธีพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรแล้ว
วารุณีหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆ ก็นึกอะไรออก ถามขึ้นว่า “จริงด้วย เมื่อกี้นายบอกว่า ไปหาฉันที่บริษัทช่วงเย็น มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไร ช่วงเย็นฉันไปตรวจสอบที่โรงงานหนึ่งมา แล้วผ่านใต้ตึกบริษัทเธอพอดี ดังนั้นจึงขึ้นไปหาเธอด้วย เอาขนมเล็กน้อยมาให้เธอกับพนักงานบริษัท” นัทธียิ้มอ่อนแล้วพูด
วารุณีเข้าใจขึ้นมาทันที “ที่แท้ขนมพวกนั้นนายเป็นคนเอาให้พวกเขาเองเหรอ ฉันก็ว่า ทำไมพวกเขามาพูดขอบคุณกับฉัน”
เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นัทธียิ้มโค้ง “พอแล้ว รีบทานข้าวเถอะ”
“อื้ม” วารุณีตอบกลับไปคำหนึ่ง
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว นัทธีก็ไปที่ห้องหนังสือ ทางต่างประเทศในตอนนี้คือกลางวัน เขามีการประชุมทางวิดีโอคอลกับทางต่างประเทศ
ส่วนวารุณี ก็ดูการ์ตูนกับเด็กทั้งสอง ดูถึงเก้าโมงครึ่ง วารุณีปิดทีวี พูดกับเด็กทั้งสองว่า “พอแล้วเด็กน้อย ดึกแล้ว ควรจะกลับห้องอาบน้ำนอนแล้วนะ”
“รู้แล้วครับหม่ามี๊” เด็กทั้งสองโดดลงจากโซฟาอย่างเป็นเด็กดี
อารัณนั้นยังไม่พูดถึง เพราะไม่ค่อยมีความสนใจด้านการ์ตูนอยู่แล้วตั้งแต่แรก
ไอริณนั้นถึงแม้ว่าจะชอบดู ทว่าเป็นเด็กที่มีวินัยและเชื่อฟัง วารุณีบอกว่าไม่ดูแล้ว ถึงแม้ว่าไม่อยาก แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้วุ่นวาย พยักหน้าไม่ดูแล้วอย่างเป็นเด็กดี
ดังนั้น นี่ทำให้วารุณีรู้สึกชื่นใจมาก