พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 709 สายโทรศัพท์ใคร
ช่างเถอะช่างเถอะ สู้คู่รักคู่แค้นคนนี้ไม่ไหว ปล่อยเขาไปเถอะ
หลังจากนั้น ในใจของวารุณีก็ยังมีความรู้สึกผิดบางๆ แฝงอยู่
นั่นก็คือจริงๆ แล้วเธอหลงใหลในความยั่วยวนของนัทธีแล้ว ดังนั้นถึงได้ยอมแพ้
ผู้ชายเองก็รู้สึกได้ว่าวารุณียอมแล้ว หัวเราะด้วยเสียงเบา ก้มหน้าแล้วจูบเธอ
ทั้งสองอยู่ในห้องไปทั้งเช้า ระหว่างนั้นป้าส้มยังมาเคาะประตูเรียกพวกเขาตื่นด้วย พวกเขาก็ทำเป็นว่าไม่ได้ยิน
จนกระทั่งช่วงบ่าย ทั้งสองจึงจะล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย ลงจากตึกด้วยท้องที่ว่าง
ป้าส้มเห็นรอยตรงคอของวารุณี ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสองสามีภรรยานี้ไม่ลงมาทั้งเช้าเลย อดปิดปากและหัวเราะไม่ไหว จากนั้นก็ไอเบาๆ ไป เอ่ยปากขึ้นอย่างเงียบสงบ “คุณชาย คุณหญิง พวกคุณรอสักครู่นะคะ ฉันไปเตรียมข้าวกลางวันเดี๋ยวนี้ค่ะ”
จริงด้วย ข้าวกลางวัน!
ใครให้ตอนเช้าพวกเขาไม่ลงมาล่ะ ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว ก็กินได้แค่ข้าวกลางวันแล้ว
นัทธีพยักหน้าเบาๆ “ไปเถอะ”
หลังจากนั้น เขาจูงวารุณีเข้าไปในห้องอาหาร
มาถึงห้องอาหาร จู่ๆ วารุณีก็นึกอะไรออก เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “จริงด้วยนัทธี ฉันคิดไว้ว่าจะไปเมืองธาราช่วงเย็น”
“เมืองธารา?” นัทธีขมวดคิ้ว “ไปที่นั่นทำไม? ทำงานนอกพื้นที่เหรอ”
เมืองธาราถือว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังภายในประเทศ ทว่าระยะห่างกับจังหวัดจันทร์ค่อนข้างไกล ประมาณหกร้อยกว่ากิโลเมตร
เธอไปไกลขนาดนี้ เขาไม่วางใจมากๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาออกประเทศด้วยกัน เธอถูกนิรุตติ์จับไป ทำให้ในใจของเขามีความอ่อนไหวและความหวาดระแวงมากขึ้น
ดังนั้น เขาไม่อยากให้เธอไปไหนคนเดียวจริงๆ ออกจากจังหวัดจันทร์ไป โดยเฉพาะออกจากสถานที่นอกเหนือสายตาของเขา เพราะว่าเขาไม่สามารถรับกับผลที่ตามมาหลังจากที่เธอถูกจับไปได้อีก
“ไม่ใช่” วารุณีส่ายหัว “พ่อแม่ของปาจรีย์อยู่ที่เมืองธารานายเองก็รู้ ช่วงนี้ปาจรีย์แปลกๆ ฉันเป็นห่วงเธอมาก ฉันหานักสืบไปสืบก็ยังสืบไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับปาจรีย์กันแน่ อีกอย่างปาจรีย์ก็ไม่ยอมบอกฉัน ดังนั้นฉันต้องไปด้วยตนเอง ไปคุยกันแบบเจอหน้ากับปาจรีย์”
นัยน์ตาของเธอจริงจังมาก ชัดเจนเลยว่าไม่ไปไม่ได้
นัทธีมองออกถึงความยืนหยัดของเธอ รู้ว่าตนเองห้ามไม่ได้ ถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไปได้ แต่ว่าต้องพาบอดี้การ์ดติดตัวไปหลายคน อีกอย่างห้ามละสายตาจากบอดี้การ์ด”
แน่นอน เขาเองก็อยากไปกับเธอด้วยตนเอง
แต่ว่าหลังจากนี้บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปมีการประชุมปฏิรูปครั้งใหญ่ เขาจะยุ่งเป็นพิเศษ ดังนั้นไม่สามารถไปได้
วารุณีเห็นผู้ชายตกลงแล้ว ยิ้มแล้วพยักหน้า “อื้ม ฉันรู้แล้ว ขอบคุณค่ะที่รัก”
“ไม่ต้องขอบคุณฉัน กลับมาเช้าๆ ก็ได้แล้ว อย่าลืมนะ ฉันกับลูกรอเธออยู่ที่นี่” นัทธีมองเธอ นัยน์ตาลึกซึ้ง
วารุณีอื้มอย่างหนักแน่น “โอเคฉันรู้แล้ว แน่นอนอยู่แล้ว”
“งั้นก็ดี ทานข้าวเถอะ” เห็นป้าส้มถืออาหารเดินมา นัทธีบีบมือของเธอ พูดด้วยเสียงเบา
บนโต๊ะอาหาร วารุณีมองไปทางป้าส้ม “ป้าส้ม อารัณกับไอริณไปเรียนมวยหรือยัง?”
“ใช่ค่ะ ตอนเช้าฉันส่งเด็กทั้งสองไปแล้วค่ะ” ป้าส้มพยักหน้า
ในตอนแรก มีแต่อารัณที่เรียนมวย ไอริณอยู่เป็นเพื่อนเขาที่สถานฝึกมวย
อยู่เป็นเพื่อนไปนานมาก ไอริณก็เริ่มค่อยๆ มีความสนใจด้านมวย จากนั้นก็ให้นัทธีสมัครให้เธอด้วย
ดังนั้นตอนนี้สองพี่น้องเรียนด้วยกัน
แต่ว่าพรสวรรค์ทางด้านนี้ของไอริณ เก่งกว่าอารัณเสียอีก
ไอริณพึ่งเรียนไปไม่กี่วัน ก็พัฒนาถึงขั้นของอารัณแล้ว เป็นอัจฉริยะทางด้านนี้จริงๆ
เธอก็ว่า ลูกๆของเธอ จะคนหนึ่งที่ฉลาดเหมือนเจ้าปีศาจ ส่วนอีกคนธรรมดาและมีเพียงแต่ใบหน้าที่น่ารักได้ยังไง
ความจริงยืนยันแล้วว่า ลูกที่เธอคลอดมาต่างก็เพอร์เฟกต์ ไม่มีเหตุผลที่ว่าพี่ชายฉลาด แล้วน้องสาวทำอะไรไม่ได้เลย
นี่ไง พรสวรรค์ของไอริณออกมาแล้ว พรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ อารัณยังสู้ไม่ได้ไอริณ เป็นที่น่าภูมิใจของเธอจริงๆ
แน่นอนว่า คนที่รู้สึกภูมิใจยังมีนัทธี ได้รับโทรศัพท์ที่โค้ชชื่นชมไอริณ ในคืนนั้น นัทธียิ้มโค้งที่มุมปาก ไม่ได้สงบสติอารมณ์เลย
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว นัทธีโอบกอดวารุณี จากนั้นก็ออกจากบ้านไปบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว
วารุณีไม่ได้ไป แต่ว่าไปเก็บของเดินทางเล็กน้อย ช่วงบ่ายไปที่สนามบินเพื่อตรงไปเมืองธารา ตั๋วเครื่องบินเธอซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยมาถึงสนามบิน เป็นเวลาบ่ายสามแล้ว
วารุณีเช็กตั๋ว ขึ้นเครื่อง ก่อนที่ฟ้าจะมืด เธอมาถึงเมืองธาราสำเร็จ
พึ่งลงจากเครื่อง วารุณีก็พาบอดี้การ์ดสี่คนออกจากทางเดินVIP จากนั้นก็เห็นในที่ไม่ไกลมีคนยกมือถือป้ายชื่อเธออยู่
ภายใต้การจ้องมองที่ประหลาดใจของผู้คนที่ในสนามบิน และภายใต้การล้อมของผู้คนที่เห็นเธอเป็นดารา โอบล้อมรบกวนเธอให้เซ็นลายเซ็น เธอมาถึงตรงหน้าคนคนนั้นอย่างสำเร็จ “ฉันเอง วารุณี”
คนคนนั้นเห็นใบหน้าที่สง่างามของวารุณีแล้ว ก็รู้ว่าเธอคือคนที่ผู้จัดการกำชับมาให้รับ รีบวางป้ายลง พูดอย่างเคารพว่า “สวัสดีครับคุณหญิง ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองธารา ประธานนัทธีได้ติดต่อกับผู้จัดการโรงแรมของเรา เตรียมห้องไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้วครับ เชิญทางนี้ครับ รถที่รับคุณไปโรงแรม จอดรออยู่นอกสนามบินแล้วครับ”
“โอเค รบกวนนายแล้ว” วารุณีพยักหน้า
เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนคนนี้คือคนของโรงแรมที่ส่งมารับเธอ เพราะว่าก่อนขึ้นเครื่อง นัทธีได้ติดต่อกับเธอแล้ว บอกว่าจองโรงแรมไว้ให้เธอแล้ว พอถึงเวลาจะมีคนมารับเธอ
ดังนั้นเห็นคนคนนี้ยกป้ายชื่อของเธออยู่ที่นี่ เธอจึงไม่ได้รู้สึกตกใจเลย
อีกอย่างโรงแรมที่คนคนนี้พูดถึง ก็คือหุ้นส่วนหนึ่งของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป เธอพักอยู่ข้างใน ก็ถือว่าพักโรงแรมของบ้านตนเอง
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปจะมีธุรกิจด้านสินค้าเครื่องประดับเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันบริษัท ไชยรัตน์ก็มีธุรกิจรอง นั่นก็คือร้านอาหารโรงแรม ด้านการเดินทางทางอากาศเป็นต้น
โดยรวมแล้ว นอกจากด้านอสังหาริมทรัพย์ เกือบทั้งหมดต่างก็เกี่ยวข้อง
ไม่เช่นนั้นขายแต่สินค้าเครื่องประดับอย่างเดียว บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ไม่สามารถเข้าถึงสุดยอดมหาเศรษฐีในอันดับ500ของโลกแน่นอน
ในไม่ช้า ภายใต้การคุ้มครองของบอดี้การ์ดและพนักงานโรงแรม วารุณีได้ขึ้นรถอย่างราบรื่น และมาถึงโรงแรม
โรงแรมจัดห้องเพรสซิเดนเชียล สวีท วารุณีไปแล้ว ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเลย เบียดขี้เกียจอย่างสบายผ่อนคลาย “เอ่อ……สุดยอด!”
นั่งเครื่องบินไปหลายชั่วโมง ถึงแม้ว่าจะเป็นชั้นเฟิร์สคลาส แต่ก็เหนื่อย หลังจากอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยแล้วก็พักผ่อนเช้าๆ คิดไว้ว่าพรุ่งนี้เช้า ค่อยไปเยี่ยมบ้านปาจรีย์
“อ้อจริงด้วย โทรศัพท์” วารุณีตบไปที่หน้าผาก จู่ๆ ก็นึกขึ้นว่าก่อนขึ้นเครื่อง นัทธีบอกเธอว่า หลังจากที่เธอมาถึงโรงแรมแล้ว ให้โทรหาเขา เธอเกือบลืมแล้ว
ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้ นัทธีต้องบ่นอีกแน่ๆ
วารุณีรีบนั่งลงบนเตียง หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรเบอร์ของนัทธีออกไป
ขณะนี้ นัทธีกำลังประชุมอยู่ ประชุมกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ในบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดู ยิ้มโค้งขึ้นที่มุมปากทันที
รอยยิ้มนี้ บรรดาผู้สูงศักดิ์ทุกคนในห้องประชุมต่างก็เห็นหมด ต่างก็ตกใจตะลึงโดยไม่สามารถหุบปากได้ สายตาทุกคู่จับจ้องมองผ่านไปทางอากาศ บางคนถึงกับแอบหยิบโทรศัพท์ออกมา และพูดคุยกันวิพากษ์กันในกลุ่มอยู่ใต้โต๊ะ
“เห็นหรือยัง? ประธานยิ้มแล้ว”
“เห็นแล้ว ชัดเจนขนาดนี้ ใครจะไม่เห็น นี่คำพูดไร้สาระชัดๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“เฮอะ พวกเธอว่า เป็นใครกัน”
“โง่ จะเป็นใครได้อีก ก็คุณหญิงท่านนั้นที่ไม่ค่อยมาบริษัทไงล่ะ นอกจากคุณหญิงแล้วยังมีใครได้อีก เธอว่านอกจากคุณหญิงแล้ว ยังมีใครที่สามารถทำให้ประธานยิ้มฉ่ำขนาดนี้?”
“ไม่แน่นะ ประธานก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายทุกคนต่างก็เจ้าชู้ ใครจะไปรู้ว่าใช่กิ๊กหรือเปล่า”
“อื้มอื้ม ฉันเห็นด้วย”
“พูดไปมั่ว ใบหน้าของคุณหญิงสวยขนาดไหน ใช่ว่าพวกเธอจะไม่รู้ พวกเธอเคยเห็นผู้หญิงที่สวยกว่าคุณหญิงไหม? ประธานมีสาวสวยอย่างคุณหญิงแล้ว ใครยังจะไปชอบผู้หญิงทั่วไปได้อีก หากไม่เชื่อ เราก็มาเดิมพันกัน เดิมพันว่าคนที่โทรมาคือคุณหญิง หรือว่ากิ๊ก เป็นไง?”