พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 741 สุขใจตื่นแล้ว
“ควรเป็นแบบนี้”ปาจรีย์ยิ้มและพยักหน้า
วารุณีเช็ดขอบตา แล้วยิ้มขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว เอาเอกสารมาให้ฉันเถอะ”
“นี่”ปาจรีย์เดินไป แล้วยื่นเอกสารส่งให้เธอ
วารุณีเอื้อมมือรับ “โอเค เดี๋ยวฉันดูก่อน ดูเสร็จจะส่งไปให้เธอเซ็นนะ”
“ไม่ต้องรีบ เอามาให้ฉันตอนไหนก็ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ”ปาจรีย์โบกมือพูด
“เดี๋ยวก่อน”ทันใดนั้นวารุณีก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง เอื้อมมือไปรั้งเธอ
ปาจรีย์หยุดฝีเท้า แล้วหันมามองวารุณี “มีอะไรเหรอ?”
“ยังมีอีกเรื่อง อีกสองสามวัน ฉันต้องร่วมงานAsian Youth Design Competitionที่ต่างประเทศ เป็นกรรมการการแข่งขัน ดังนั้นหลายเรื่องของบริษัท ให้เธอรับชอบผิดชอบนะ สองวันนี้ รับช่วงต่อฉันไปก่อนหน่อยนะ”วารุณีตอบ
ปาจรีย์พยักหน้า “ได้ เข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวเราประชุมกับทุกคนทีหลัง พวกงานที่ไม่ค่อยเร่งเท่าไหร่ เธอก็จัดมอบหมายให้คนอื่นในที่ประชุมจัดการก็แล้วกัน ส่วนอันที่สำคัญฉันจัดการเอง”
“ก็ได้ งั้นเธอไปประกาศต่อเถอะ”วารุณียิ้ม
ปาจรีย์ทำท่าโอเคOK แล้วหันหลังออกไป
วารุณีก้มหน้า หยิบดินสอขึ้นมา แล้วจัดการงานตัวเองต่อ
จนถึงช่วงบ่าย หลังจากประชุมเสร็จ วารุณีจึงออกจากบริษัท แล้วขับรถไปที่โรงพยาบาล เตรียมไปดูสุขใจ
เมื่อก่อนสุขใจอยู่ที่ต่างประเทศ เธอไม่สามารถไปเจอได้ทุกวัน ตอนนี้สุขใจอยู่ในประเทศแล้ว เธอต้องไปดูวันนี้ถึงจะสบายใจ
แต่สิ่งที่ทำให้วารุณีเสียใจคือ ครั้งนี้เธอ ยังคงมาไม่เจอสุขใจตื่นเลย
“รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องอยู่ที่นี่”เมื่อวารุณีกำลังมองที่สุขใจ มองอย่างละสายตาไม่ได้นั้น เสียงอ่อนโยนของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
วารุณีตกใจ จากนั้นจึงหันศีรษะไปมอง ก็เห็นนัทธีที่มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้ามาที่นี่ แล้วยิ้ม “นัทธี คุณมาทำอะไรที่นี่?”
“มาหาคุณ แล้วก็มาดูสุขใจด้วย”นัทธีหยุดฝีเท้าตรงข้างเธอแล้วพูด
วารุณีถาม “เมื่อกี้คุณพูดว่า รู้อยู่แล้วว่าฉันต้องอยู่ที่นี่ หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ผมไปหาคุณที่บริษัท ปาจรีย์บอกว่าคุณออกมาแล้ว ปกติคุณไม่เคยกลับบ้านเร็วขนาดนี้ ผมเลยเดาว่าคุณต้องมาดูสุขใจแน่นอน หลังจากนั้นผมเลยเข้ามา แล้วก็เห็นว่าคุณอยู่ที่นี่จริงๆ”นัทธียิ้มเบาๆแล้วพูด
วารุณีพยักหน้าทันที “แบบนี้นี่เอง แล้วคุณไปหาฉันที่บริษัททำไมคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ผมไม่มีงานสำคัญ เลยเลิกงานก่อน เตรียมจะไปบริษัทคุณ รอคุณเลิกงานแล้วกลับบ้านพร้อมกัน”นัทธีมองไปที่สุขใจแล้วตอบ
วารุณียิ้มอย่างเกรงใจ “ขอโทษค่ะ ที่ฉันไม่รู้”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมก็หาคุณเจออยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”นัทธีพูดอยู่ ก็เอามือขวาที่ล้วงกระเป๋าอยู่ออกมา หลังจากนั้นก็ไปจับที่มือซ้ายของเธอ แล้วบีบเบาๆ
“ทำไมมือถึงเย็นแบบนี้ล่ะ?”นัทธีรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่เย็นจัดของหญิงสาว คิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่ได้
วารุณีตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อกี้นี้ฉันเอามือวางบนกระจกตลอดน่ะค่ะ เลยเย็นแบบนี้ ไม่ร้ายแรงอะไรหรอก”
“ทำไมถึงจะไม่ร้ายแรง”นัทธีจับมือเธอยัดเข้ากระเป๋าเสื้อสูทของตัวเอง “มือเธอมีไว้วาดแบบ ก็ต้องดูแลดีๆ ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ อีกอย่างอากาศเย็นขนาดนี้ มือก็จะเกิดแผลง่าย เอามือข้างนั้นมาให้ผม”
วารุณีรู้ว่าเขาหมายถึงมือข้างซ้ายของตัวเอง
เธอที่อยากบอกว่าไม่ต้องในทีแรก แต่เมื่อมองเห็นสายตาจริงจังและเคร่งขรึมขนาดนี้ของชายหนุ่ม คำปฏิเสธก็ไม่ได้ถูกพูดออกมาในที่สุด เอามือขวาออกจากกระจกอย่างเชื่อฟัง แล้วยื่นออกไปหาชายหนุ่ม
เมื่อชายหนุ่มจับที่มือขวาของเธอ ก็เย็นเหมือนมือข้างซ้ายเมื่อกี้ตามที่คิดไว้
นัทธียกมือขวาของเธอขึ้นมาตรงข้างริมฝีปากของตัวเอง หลังจากนั้นก็พ่นไอร้อนออกมาจากปากเบาๆ ทั้งนำมือขวายัดเข้าไปในกระเป๋าสูทอีกอัน
ด้วยวิธีนี้ ก็เท่ากับว่าวารุณีโอบเอวชายหนุ่มเอาไว้แล้ว ราวกับนำชายหนุ่มมากอดเอาไว้ โดยที่ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิด
เธอเงยหน้ามองชายหนุ่ม “ที่รัก แบบนี้ไม่ดีมั้งคะ?”
“อะไรไม่ดีเหรอ?”นัทธีจ้องตาเธอ
วารุณีก็มองที่มือสองข้างของตัวเองนัยน์ตา นัยนาแล้วมองไปที่หมอพยาบาลที่ผ่านไปมารอบๆ ใบหน้าแดงเล็กน้อยแล้วพูด “ผลกระทบไม่ดี นี่มันที่สาธารณะนะคะ คนเห็นหมดแล้ว”
“ปล่อยเขามองไปสิ เราไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมายสักหน่อย อีกอย่างสายตาที่พวกเขาจับจ้องมาที่พวกเรา เราควักออกมาได้ไหม?เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”นัทธีเหลือบไปมองคนที่เดินผ่านไปมา พูดอย่างไม่เห็นด้วย
วารุณีกระตุกมุมปาก “แต่คุณทำแบบนี้ ฉันขยับไม่ได้นี่”
มือของเธอทั้งสองข้างถูกเขาบีบ หลังจากนั้นก็ยัดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขาเอาออกมาไม่ได้ เธอจึงไม่สามารถตั้งตัวยืนได้ดี ทำได้แค่ยืนตรงหน้าเขา ไม่อย่างนั้นเธอจะได้แค่ยืนข้างเขาเท่านั้น
แต่ยืนอยู่ข้างเขานั้น พอยืนนานไปมันก็ปวดเอวนี่
นัทธีรู้ว่าทำไมวารุณีถึงบอกว่าขยับไม่ได้ แต่ยังไม่ปล่อยเธอสักที “ทนหน่อย รอมือคุณอุ่น ผมก็ปล่อยคุณแล้ว”
“……”คำพูดนี้ทำให้วารุณีพูดไม่ออก
เพราะเธอรู้ ว่าไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ปล่อยเธอหรอก ต้องให้มือของเธออุ่นก่อน
นี่แหละสิ่งที่เขาว่ากันว่าประธานมีอำนาจเหนือกว่าใคร
วารุณีส่ายหัวอย่างจำใจ ยิ้มไม่ออกร้องไม่ได้
ช่างเถอะ เขาอยากกุม ก็ปล่อยให้เขากุมไป ยังไงเขาก็ห่วงใยเธอ
เธอจะทำร้ายจิตใจเขาไม่ได้
ก็อย่างที่เขาบอก ทนหน่อยเถอะ
เนื่องจากวารุณีไม่ขัดขืนอีกต่อไป เอนพิงในอ้อมกอดเขาอย่างเชื่อฟัง แล้วปล่อยให้เขาจับมือเธอ
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน หลังจากที่วารุณีเริ่มรู้สึกว่ามือของตัวเองเริ่มอุ่น ชายหนุ่มก็เริ่มปล่อยมือของเธอ แล้วเอามือเธอออกมา “ได้แล้ว มือหายเย็นแล้ว”
“อื้ม ขอบคุณค่ะที่รัก”วารุณีมองที่มือของตัวเอง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่สวยงาม
นัทธีมองรอยยิ้มของเธอ นัยน์ตา นัยนาสีมืด เสียงแหบกระแอม “ไม่มีอะไรแล้ว เข้าไปดูสุขใจเถอะ มีเวลาวันลัห้านาที อย่าให้เสียเวลาทิ้ง”
“ค่ะ”วารุณีพยักหน้า
อย่าว่าแต่มีเวลาวันลัแค่ห้านาทีเลย ต่อให้มีวันละแค่หนึ่งนาที ขอให้ได้สัมผัสแนบชิดกับสุขใจ เธอก็จะไม่ทิ้งให้เปล่าประโยชน์ และก็จะมาหาทุกวัน จนกว่าสุขใจจะออกจากโรงพยาบาล
สองสามีภรรยาจูงมือกัน เดินเข้าไปข้างๆพร้อมเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อ แล้วเข้าไปที่ห้องทารก
บางทีสุขใจอาจจะรู้สึกได้ว่าพ่อกับแม่มาแล้ว นาทีที่นัทธีและวารุณีเข้าไปใกล้ที่ตู้อบนั้น สุขใจก็เริ่มลืมตาขึ้น
ใช่ ลืมตาแล้ว
นาทีที่เห็นว่าสุขใจลืมตาขึ้นแล้ว ทั้งคู่ก็ไม่อยากจะเชื่อ ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
นัทธีเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เกินจริงเท่าวารุณี แต่ความตื่นเต้นและความดีใจที่แวบเข้ามาในดวงตา ก็ไม่ได้ปิดบังเลย
“ที่รัก สุขใจ……”หลังจากที่วารุณีดึงสติกลับได้ ดึงมือนัทธีแน่น น้ำเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “สุขใจเขา……เขา……”
“ผมรู้ สุขใจตื่นแล้ว เขาลืมตามองเราแล้ว”สายตานัทธีจ้องมองไปที่ลูก พยักหน้าแรงแล้วตอบกลับ
เสียงสะอึกของวารุณีดังขึ้น “อืม สุขใจตื่นแล้ว”
พูดอยู่ เธอก็ปล่อยมือนัทธี มือสองข้างวางบนตู้อบ ก้มลงมองตที่กะพริบ จ้องมองที่พวกเขา เด็กที่ไม่ร้องและไม่ส่งเสียงดัง หัวใจอ่อนรวบเป็นแอ่งน้ำ “ลูก นี่แม่เอง”
“นี่พ่อเอง”นัทธีโค้งตัวลงมอง มองที่สุขใจแล้วพูดหนึ่งประโยค
ดวงตาวารุณีเปียกชุ่ม “ลูก ลูกสัมผัสได้ใช่ไหมว่าพ่อกับแม่มาหา ถึงตื่นขึ้นมา อยากเห็นพ่อกับแม่ใช่ไหม?”
เด็กน้อยไม่ได้ยินว่าวารุณีกำลังพูดว่าอะไร ถึงต่อให้ได้ยิน ก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขาสามารถมองเห็น
เขามองที่ใบหน้าแปลกทั้งสองที่อยู่ใกล้ๆตัวเองและจ้องมองมาที่ตัวเอง หลังจากที่กะพริบตา ทันใดนั้นปากเล็กๆก็เบะ แล้วร้องขึ้น