พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 742 ปาจรีย์กับเขาคบกันแล้ว
การร้องไห้ของเด็กคนนี้ ทำให้วารุณีและนัทธีตระหนกทันที
ถึงแม้จะไม่ใช่การเป็นพ่อแม่ครั้งแรกของทั้งสองแล้ว แต่การเป็นพ่อแม่ครั้งแรกครั้งนั้น เด็กทั้งคู่เกิดมาอย่างร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ดังนั้นถึงลูกจะร้องไห้ ก็จะไม่ตกใจแบบนี้ มีแต่คิดว่าหิวแล้วหรือเปล่า หรือว่าอึแล้ว
แต่สุขใจต่างออกไป สุขใจคลอดก่อนกำหนด ร่างกายไม่แข็งแรง ทันทีที่ร้องไห้ อย่างแรกที่ทำให้คนนึกถึง ไม่ใช่ว่าสุขใจร้องแล้วอึแล้ว แต่เป็นเพราะไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ดังนั้นวารุณีจึงตื่นตระหนกแบบนี้
แต่การตื่นตระหนกของนัทธีไม่เหมือนกัน เขาไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงดูอารัณกับไอริณตอนเล็กเท่านี้มาก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อสุขใจร้อง เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่สติของเขายังทำงานอยู่ จึงรีบกดปุ่มขอความช่วยเหลือ
ไม่ช้า หมอพยาบาลก็รีบมา
วารุณีก็ดึงแขนคุณหมอกฤตอย่างร้อนใจ “คุณหมอกฤต หมอช่วยดูให้หน่อยค่ะว่าสุขใจเป็นอะไรไป ทำไมถึงร้อง”
“ครับๆๆ ผมดูอยู่ครับ คุณหญิงอย่าเพิ่งรีบร้อนนะครับ”หลังจากที่คุณหมอกฤตปลอบโยนวารุณีไปสองประโยค ก็ดึงแขนกลับ แล้วไปเช็กสถานการณ์ของสุขใจ
นัทธีนำวารุณีมาพยุงไว้ครึ่งหนึ่ง “เอาล่ะ ใจเย็นก่อน อย่าตกใจไป สุขใจต้องไม่เป็นอะไร”
วารุณีกัดริมฝีปาก “นัทธี คุณรู้ไหม?สำหรับฉันแล้วสุขใจ ก็เหมือนตุ๊กตาแก้วที่เปราะบางมากตัวหนึ่ง เพียงเขาร้องไห้ ฉันก็กังวล กลัวว่าเขาจะไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ผมรู้ ผมก็เหมือนกัน แต่เราจะคิดแบบนั้นตลอดไม่ได้นะ เราต้องปรับความคิดของเรา เพราะยังไงการที่ทารกร้องไห้ บ่อยครั้งมันเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นถ้าหากทันทีที่เราเห็นว่าสุขใจร้องไห้ แล้วคิดว่าสุขใจไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า การคิดแบบนี้กับสุขใจ สำหรับเราแล้ว ไม่ใช่เรื่องดี”นัทธีตบไหล่เธอเบาๆเพื่อปลอบใจ
วารุณีพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ ฉันแค่อยู่กับสุขใจแล้ว ก็เลย……”
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูด รอดูก่อนว่าหมอจะว่ายังไง”นัทธีชี้ไปที่กลุ่มคุณหมอกฤต
วารุณีก็รู้ว่าการพูดของตัวเอง จะส่งผลต่อการวินิจฉัยเด็กของพวกเขา สูดหายใจเข้าลึกๆและรีบสงบสติลง แล้วปิดปากเงียบ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที คุณหมอกฤตก็เดินเข้ามา
วารุณีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว รีบถาม “คุณหมอกฤต ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ประธานนัทธีกับคุณหญิงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คุณชายน้อยไม่ได้เป็นอะไร แค่คุณชายน้อยไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน ดังนั้นพอเห็นเข้า ก็เลยรู้สึกกลัว ตกใจ ก็เลยร้องครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณชายน้อยหลับไปอีกแล้วครับ”คุณหมอกฤตผลักแว่น
วารุณีถอนหายใจโล่งอก “แบบนี้นี่เอง งั้นก็ดีไป งั้นก็ดีค่ะ ฉันก็กลัวว่าสุขใจจะไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
เธอตบเข้าที่หน้าอก
นัทธีเองก็สบายใจ “เอาล่ะ อย่าคิดมาก อย่าทำให้ตัวเองตกใจ คุณก็ควรจะปล่อยวางหน่อย อย่าจิตตกนัก ไม่ต้องไปคิดแต่ว่าสุขใจจะเป็นอะไรไป สุขใจไม่ได้บอบบางอย่างที่คุณคิดขนาดนั้น ดังนั้นคุณปล่อยวางหน่อย ไม่อย่างนั้น สุขใจไม่เป็นอะไร จะเป็นคุณเองที่เอาโรคประหม่ามาให้ตัวเอง”
“ประธานนัทธีพูดถูกครับ คุณหญิง คุณคิดมากกับอาการของคุณชายน้อยเกินไป ต้องปรับความคิดจริงๆนะครับ ผ่อนคลายตัวเอง ไม่อย่างงั้นจะป่วยง่ายมาก”คุณหมอกฤตพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
วารุณีไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อนเลยว่ากับเรื่องของสุขใจนั้น จะค่อนข้างอ่อนไหว ประหม่าเกินไป เป็นห่วงเกินไป
แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ นี่ลูกของเธอ เป็นลูกคนเล็กของเธอที่ติดหนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะประหม่า
แต่พวกเขาก็พูดถูก เธอต้องปล่อยวางลงหน่อย ไม่อย่างนั้นตัวเองจะป่วยเข้าจริง ไม่สามารถทำงานน้อยลง แล้วพอถึงเวลาจะมาดูแลสุขใจไม่ได้
คิดเพียงเท่านี้ วารุณีก็ถอนหายใจ หลังจากนั้นก็ตบหน้าตัวเอง พูดอย่างใจเย็น “ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะปรับตัวเอง แล้วก็ปรับความคิดตัวเองด้วย”
“แบบนั้นก็ดี”นัทธีลูบผมเธอ “งั้นพวกเราออกไปกันเถอะ หมดเวลาแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาหาสุขใจใหม่ เชื่อว่ารออีกไม่กี่ครั้ง สุขใจก็จะคุ้นพวกเรา แล้วจะไม่ร้องไห้เพราะตกใจเราอีก”
“อืม”วารุณีดันมุมปากออก แล้วพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากนั้นก่อนจะออกไป เธอก็มองไปที่สุขใจอีกใจอีกครั้งสักพัก ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองวัน
คืนนี้ วารุณีและครอบครัวทั้งสี่คนกำลังทานอาหารมื้อค่ำ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
นัทธีและลูกอีกทั้งสองก็หยุดตะเกียบแล้วมองไปที่เธออย่างพร้อมเพรียงกัน
“หม่ามี๊ ใครครับ?”อารัณถาม
ถึงแม้นัทธีจะไม่ได้เอ่ยปาก แต่ความหมายในสายตาก็ชัดเจนมาก และก็อยากรู้ว่าใครถึงไม่แหกตาดู มารบกวนเวลาอาหารมื้อค่ำของพวกเขาทั้งสี่
“หม่ามี๊ดูก่อน”วารุณียิ้มแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วขมวดคิ้ว “แม่ทูนหัวของลูกน่ะ”
“ปาจรีย์โทรมาทำไมเวลานี้?”นัทธีขมวดคิ้ว
วารุณีส่ายหัว “ไม่รู้สิคะ ปาจรีย์แทบไม่โทรมาตอนเวลาทานข้าว กลัวว่าจะรบกวนพวกเราทานอาหารกัน ครั้งนี้อยู่ๆเธอก็โทรมา คาดว่าคงมีเรื่องสำคัญแหละ ฉันจะถามดู”
พูดจบ เธอก็วางตะเกียบและรับโทรศัพท์ “ปาจรีย์”
“วารุณี”ปลายสาย เสียงต่ำของปาจรีย์ดังขึ้น
วารุณีขมวดคิ้ว น้ำเสียงเป็นห่วงขึ้นทันที “ปาจรีย์ มีอะไรเหรอ?เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?”
“เปล่า ฉันแค่อยากจะบอกกับเธอ วารุณี ฉัน……ฉันกับพี่รพีคบกันแล้วนะ”ปลายสายนั้น ปาจรีย์กัดปากพูด
วารุณีตกใจตาเบิกกว้าง “อะไรนะ?คบกันจริงๆแล้วเหรอ?”
“อะไรคบกันแล้ว?”นัทธีเห็นสีหน้าชื่นชมของเธอ จึงขมวดคิ้วถาม
วารุณีถือโทรศัพท์ออกห่างแล้วพูด “ปาจรีย์กับรพี”
นัทธีเงยหน้าขึ้นทันที หลังจากนั้นก็ไม่ถามต่อ
เมื่อสองวันก่อน เขารู้ว่าสองคนนี้จะต้องคบกัน
ตอนนี้ก็พิสูจน์การคาดเดาของเขาแล้วว่าเป็นอย่างที่เดาไว้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
คิดอยู่ นัทธีก็ยกตะเกียบขึ้น แล้วทานต่อ เวลาทานข้าว ก็ต้องไม่ลืมให้ลูกทั้งสองตั้งใจทาน อย่าใจลอย
ปลายสายนั้น ปาจรีย์นั่งอยู่บนโซฟาอพาร์ทเมนท์ของตัวเอง ไม่ได้เปิดไป ภายในห้องมืดสนิท ตัวของเธอซ่อนอยู่ในความมืด มองไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ “อืม คบกันแล้ว”
“เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เมื่อตอนบ่ายวันนี้เหรอ?”วารุณีถามอีก
วันนี้เมื่อกลางวันตอนอยู่ที่บริษัท ปาจรีย์ดีใจมาก ไม่เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้
ดังนั้นเธอเดาว่า น่าจะเป็นตอนบ่ายหลังเลิกงาน ปาจรีย์ถึงคบกับรพี
อย่างที่คิด ปาจรีย์พยักหน้า “ใช่ ตอนบ่าย พี่รพีติดต่อฉันมาอีก ถามฉันว่าคิดทบทวนว่ายังไงบ้าง เพราะตอนนั้นเขา ให้เวลาฉันคิดทบทวนสองวัน”
“ฉันรู้”วารุณีตอบกลับ
สองวันก่อนปาจรีย์บอกเธอไว้
“เพราะฉะนั้นเมื่อตอนบ่าย พี่รพีเลยถามฉันอีกรอบ แล้วหลังที่คุยกับฉันสักพัก ฉันก็ตอบตกลง แต่……”
เธอถอนหายใจ “วารุณี ฉันตอบไปแบบบุ่มบ่ามเกินไป ตอนนี้ฉันเริ่มเสียใจ เธอไม่รู้ว่าที่เธอตอบตกลงคบกับพี่รพี ตกลงมันถูกหรือผิด วารุณี บอกฉันทีว่าฉันควรทำยังไง?”
วารุณีถอนหายใจ “ปาจรีย์ พูดตามจริง ฉันว่าในเมื่อเธอตอบตกลงไปแล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจทีหลังไปหรอก ตั้งใจคบกับรพีเถอะ ลองยอมรับเขา รักเขา บางทีท้ายที่สุดเธออาจจะพบว่า เขาเหมาะสมกับเธอมาก สุดท้ายเธอก็จะรักเขา”
“ฉันรู้ แต่……”
“ไม่มีแต่!”วารุณีตัดบทเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ปาจรีย์ ความรู้สึกไม่ใช่เกมเด็กเล่น เพิ่งตอบตกลงรพีไป เธอจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเสียใจ เธอก็ทำได้แค่เดินหน้าต่อ ลองคบกับรพีดู ถ้าสุดท้ายมันเข้ากันไม่ได้ ก็ค่อยเลิกก็ได้ แต่จะอยู่ๆมาเลิกไม่ได้ เข้าใจไหม?