พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 746 ไปเป็นกรรมการที่ต่างประเทศ
“สองเดือนก่อน จัดการว่ามีอันที่ควรเก็บก็เก็บ อันที่ควรทำลายก็ทำลาย” ปาจรีย์ตบลงกองรายงานแล้วพูด
วารุณีพยักหน้า “ก็ใช่ อีกไม่นานก็ปีจะปีใหม่แล้ว เอกสารมากมาย ก็ควรตรวจสอบหน่อย”
“ใช่ เพราะฉะนั้นช่วงฉันว่าง เลยค่อยๆจัดการ” ปาจรีย์ยิ้ม
วารุณีบิดขี้เกียจ “โอเค งั้นเธอค่อยๆทำนะ ฉันกลับห้องทำงานฉันก่อน”
“บายๆ ” ปาจรีย์โบกมือ
วารุณีหันหลังออกไป แล้วกลับห้องทำงานตัวเอง
ภายในสองวันหลังจากนั้น ชีวิตของเธอวนอยู่ที่บริษัทโรงพยาบาลและคฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ ไม่นานก็ถึงวันที่เธอต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเป็นกรรมการ
ที่สนามบิน วารุณีถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กมองที่ชายหนุ่มและเด็กสองคน “ที่รัก ฉันไปนะคะ ต้องให้คุณดูแลอารัณกับไอริณคนเดียวแล้วล่ะ แล้วก็สุขใจ จำไว้เลยนะว่าต้องส่งรูปสุขใจให้ฉันดูบ่อยๆ นะคะ”
“ผมรู้แล้ว” นัทธีพยักหน้า เอื้อมมือไปทัดผมเธอเข้าข้างหู “เหมือนเมื่อก่อน อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ผมจะพาลูกทั้งสองคนไปหาคุณ”
“อื้ม” วารุณีพยักหน้า
หลังจากนั้น เธอก็หันไปมองปาจรีย์ที่อยู่ข้างๆ “บริษัทยกให้เธอนะ”
“วางใจได้เลย ฉันจะดูแลอย่างดี” ปาจรีย์ตบเข้าที่หน้าอกแล้วพูด
วารุณียิ้ม “ฉันเชื่อเธอ”
พูดจบ สนามบินก็ประกาศการขึ้นเครื่อง
วารุณีเงยหน้ามองลำโพงกระจายเสียง แล้วหันสายตาลงมองหน้านัทธีกับลูกทั้งสอง สายตาเต็มไปด้วยความจำใจ “ฉันขึ้นเครื่องแล้วนะคะ”
“หม่ามี๊แล้วเจอกันค่ะ” ไอริณโบกมืออวบน่ารัก
อารัณมองวารุณี “หม่ามี๊ พวกเราจะคิดถึงนะครับ”
“หม่ามี๊ก็จะคิดถึงลูกนะ” วารุณีคลุกเข่า ลูบใบหน้าด็กทั้งสอง
ถ้าไม่ใช่เพราะกิจการ เธอก็ยะไม่จากเด็กสองคนนี้ไป
แต่ไม่ได้ เธอต้องทำงาน เธอไม่สามารถเป็นเหมือนพวกคุณหญิงในแวดวงร่ำรวยพวกนั้นได้ วันๆ อยู่ติดลูกกับสามี ใช้ชีวิตตัวเองกลายเป็นผู้หญิงที่ไร้อิสระ
แต่ที่โชคดีคือ สามีและลูกของเธอ เข้าใจความทะเยอทะยานในอาชพของเธอ และสนับสนุนอาชีพของเธอ
ดังนั้นเธอรู้สึกว่าแม้ว่าชีวิตครึ่งก่อนของเธอจะขมขื่น แต่หลังจากแต่งงาน วันเวลาช่างหวานชื่น และมีความสุขมาก
จูบลงบนหน้าเล็กๆ ของเด็กสองคน วารุณีลุกยืนขึ้น มองไปที่นัทธี “ที่รัก ฉันไปนะคะ”
นัทธีเม้มริมฝีปากบาง ไม่พูดอะไร แต่เอื้อมมือลากเธอเข้ามาในอ้อมกอด กอดไว้แน่นๆ แล้วพูดเสียงต่ำๆ ที่ข้างหูของเธอ “คฤหาสน์คนรับใช้แล้วก็บอดี้การ์ดที่นั่นผมเตรียมไว้คุณหมดแล้ว แต่ถึงจะแบบนี้ ผมหวังว่าคุณจะดูแลตัวเองดีๆ นะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ” วารุณียิ้มแหละพยักหน้า “ฉันจะไม่ทำให้คุณเป็นห่วง”
“อืม” นัทธีลูบผมเธอ แล้วปล่อยเธอไป “ไปเถอะ ถึงแล้วโทรหาผมด้วย”
“ค่ะ ฉันไปแล้วนะ” วารุณีเบ้าตาแดงมองที่เขา จากนั้นก็เขย่งปลายเท้า แล้วจูบลงไปที่รืมฝีปากของเขา ลากกระเป๋าเดินทางแล้วหันหลังจากไป แล้วเดินไปทางประตูขึ้นเครื่อง
ด้านหลัง ยังมีบอดี้การ์ดอีกสองคน
“หม่ามี๊ลาก่อน!” เด็กสองคนมองดูเธอจากข้างหลัง ตะโกนขึ้นเสียงดัง
ฝีเท้าวารุณีชะงัก ทันใดนั้นความรู้สึกคิดถึงก็ผุดเข้ามาในหัวใจ
เธอไม่หันกลับมามอง สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ
เพราะเธอกลัวว่าหากหันหลังกลับ เธอจะไม่เต็มใจไปจริงๆ
ไม่นาน วารุณีก็ขึ้นเครื่องข้ามไปต่างประเทศ หกชั่วโมง เครื่องบินก็ถึง
วารุณีอยู่ภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ด เดินออกมาจากทางเดิน มาถึงล็อบบี้ของสนามบิน
เวลานี้ ทันใดนั้นบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเธอก็พูดขึ้น “คุณหญิงครับ คุณลีน่า”
พูดอยู่ เขาก็ชี้ไปที่ผู้ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า
วารุณีถอดแว่นแล้วมอง เป็นลีน่าอย่างที่ว่าไว้ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่มีความสุข หลังจากนั้นยังไม่ทันสวมแว่นดีๆ ก็วิ่งออกไป “นาน่า”
ลีน่าที่กำลังก้มมองโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเสียงเธอ ก็รีบเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นวารุณี ก็รีบเก็บโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็กอดวารุณี พูดด้วยความตื่นเต้น “วารุณี ในที่สุดเราก็เจอกัน ครึ่งเดือนกว่าแล้วได้มั้ง”
ก็แค่ครึ่งเดือนกว่าไหม?
ตั้งแต่วารุณีถูกพากลับมา ก็ไม่เจอกันอีกเลย
วารุณีพยักหน้า “ใช่ เราเจอกันอีกแล้ว”
“ไป ขึ้นรถก่อน รถอยู่ด้านนอก สามีเธอเตรียมไว้ให้ รถบ้านคันใหญ่ สบายสุดๆ ” ลีน่าดึงมือวารุณี เดินออกนอกประตูสนามบินอย่างรวดเร็ว
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปล่อยให้เธอลากตัวเอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ถึงคฤหาสน์
ลีน่าลงจากรถก่อน หลังจากนั้นก็พยุงวารุณีลงมา ชี้ไปที่คฤหาสน์ตรงข้าม “ตอนแรกฉันพักอยู่ที่โรงแรม สรุปลูกน้องของสามีเธอโทรมาหาฉัน ให้ฉันย้ายมาอยู่ด้วย ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนนแก้เบื่อ จุ๊ๆ สามีเธอเกินไปแล้วนะ ให้ฉันมาเป็นเครื่องมือแก้เบื่อเธอเนี่ย”
วารุณีฟังความเจ็บแสบในน้ำเสียงของเธอ จึงส่ายหัวอย่างตลก “เอาล่ะ เลิกโกรธ รอก่อนเดี๋ยวบอกเขาให้”
“อย่า” ลีน่ากลับห้ามขึ้นมา แล้วยิ้มตาหยี๋พูด “จริงๆ แล้วเครื่องมือก็คือเครื่องมือ มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย ยังไงซะก็ได้อยู่ที่ดีขนาดนี้ แถมยังไม่ต้องใช้เงินตัวเอง ใช้ฉันเป็นเครื่องมือฉันก็ยอม เพราะฉะนั้นอย่าไปว่าประธานนัทธีเลย”
วารุณียิ้มมุมปาก “เธอนี่นะ”
“เหอะๆ ไปๆๆ เราเข้าไปดูข้างในกัน ฉันไม่เคยเห็นเลยว่าข้างในคฤหาสน์มันเป็นยังไง” ลีน่าลากเธอวิ่งเข้าไปข้างใน
หลังจากเยี่ยมชมคฤหาสน์เสร็จ ลีน่าก็ไปเก็บกวาดห้องที่ตัวเองเลือกไว้
ห้องของวารุณีไม่ต้องเก็บกวาด เธอพักห้องหลัก มีคนรับใช้เก็บกวาดไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธอจึงนั่งมือเปล่าพักผ่อนอยู่ที่ห้องรับแขก
แน่นอน เธอก็ไม่ลืมที่โทรรายงานนัทธี
วารุณีโทรศัพท์หยิบ ต่อสายไปที่โทรศัพท์ของนัทธี
ราวกับว่านัทธีรอสายของเธออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นทันทีต่อสายมา เสียงของเขาก็แทรกออกมาทันที “ถึงแล้วเหรอ?”
“อื้ม เพิ่งจะถึงค่ะ” วารุณีเอนพิงไปข้างหลังแล้วพูด
นัทธีพยักหน้า “งั้นก็ดี”
“ใช่แล้วค่ะที่รัก คุณให้นาน่ามาอยู่เป็นเพื่อนฉัน ทำไมถึงไม่บอกฉันก่อนคะ?” วารุณีเอ่ยปากถาม
นัทธีขมวดคิ้ว “ลืมน่ะ ตอนก่อนจัดการเรื่องคฤหาสน์ให้คุณ ก็เลยติดต่อเธอไป ตอนแรกว่าจะบอกคุณ ตอนหลังมาก็ลืม”
ยังไงซะสำหรับเขาแล้ว ลีน่าเป็นคนที่ไม่สนิท ถ้าไม่ใช่ว่าลีน่าเป็นเพื่อนของเธอ เขาก็จำชื่อน่าไม่ได้
วารุณีได้ยินคำตอบจากชายหนุ่ม เธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ “เอาเถอะ”
“คุณถามผมเรื่องนี้ทำไม?ไม่ชอบให้ลีน่าอยู่กับคุณเหรอ?” นัทธีถาม
วารุณีส่ายหัว “ไม่ใช่แน่นอนค่ะ กลับกันฉันดีใจมาก ฉันแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่บอกฉัน ฉันนึกว่าคุณอยากเซอร์ไพรส์ฉันซะอีก”
“ผมแค่คิดว่า มีเธออยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณก็จะได้ไม่เหงา ก็เลยให้คนติดต่อเธอไป” นัทธีพูด
วารุณีพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ นาน่าบอกฉันแล้ว พูดถึง เธอแอบบ่นคุณด้วยนะคะ บอกคุณให้เธอมาเป็นเครื่องมือแก้เบื่อ”
“แล้วเธอไม่ใช่หรือไง?” นัทธีขมวดคิ้ว
ที่เขาให้ลีน่าเข้าไปอยู่ ก็เพราะอยากให้เธอแก้เบื่อ
ดังนั้นลีน่าเป็นเครื่องมือ ก็ไม่ผิดนี่
วารุณีได้ยินที่ชายหนุ่มพูดแบบนั้น ก็ขำไม่ไหว “ที่รักคุณน่ารักเกินไปแล้ว แต่ฉันมีความสุขมากค่ะ ขอบคุณนะคะสามี ที่คิดถึงฉันทั่วถึงขนาดนี้”
พูดตามจริง ถ้าเธออยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง ถึงแม้ที่นี่จะมีคนรับใช้ มีบอดี้การ์ด แต่ไม่มีเพื่อนรู้ใจ ก็คงจะเหงามาก
ดังนั้น การที่มีลีน่าเข้ามาอยู่ เธอก็มีคนคุยด้วยแล้ว