พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 750 แฟนคลับของวารุณี
เห็นเธอลึกลับแบบนี้ ลีน่าก็ไม่ถามต่อ
กลับไปเธอรู้จักกับระยะตัวเองก็พอแล้ว
คิดอยู่ ลีน่าก็พูดถูก “ถ้าต้องการอะไรก็พูดมา ถึงตอนนั้นฉันจะช่วย”
“โอเค” วารุณีทำท่าOK
หลังจากนั้นทั้งสองก็โยนเรื่องจุ๊บแจงทิ้งไว้ ไม่ถูกพูดถึงอีก แต่ดูข้อมูลของนักออกแบบคนอื่นๆ ต่อ
หลังจากดูเสร็จ ทันใดนั้นลีน่าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงถาม “ใช่แล้ววารุณี นักออกแบบก็ต้องการนางแบบถูกไหม?”
“ใช่ แต่นางแบบไม่ใช่จุดสำคัญของเรา เราเลยไม่มีข้อมูลนางแบบ” วารุณีพยักหน้าตอบ
ลีน่าเข้าใจแล้วตอบกลับ “พูดก็ถูก งั้นไม่สนแล้ว สนใจนักออกแบบพวกนี้เถอะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เข้าไปดึงนักออกแบบพวกนี้ แต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลไว้ก่อน เมื่อถึงนอนแบ่งกลุ่ม ค่อยไปลากแย่งมา แต่ถ้าไม่มาก็ช่าง”
“ใช่” วารุณีพยักหน้า “ถึงแม้ว่าผู้เข้าแข่งขันจะสำคัญ แต่ที่ปรึกษาก็สำคัญ ถึงแม้จะเจอผู้เข้าแข่งขัน ที่ไม่ได้มีพรสวรรค์มากมาย แต่ฉันเชื่อว่า แค่ตั้งใจสอน ฉันเชื่อว่า ก็จะมีโอกาสชนะ”
“พูดไปก็ถูก” ลีน่ายิ้ม
ทั้งสองเก็บข้อมูลนักออกแบบไว้ในใจ วางแผนสังเกตอย่างเงียบๆ ก็มาได้ก็ดึง ดึงมาไม่ได้ ก็ปล่อยไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดทั้งสองก็ดูข้อมูลจนหมด จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ แล้วกลับไปที่ห้องใครห้องมัน
วันที่สอง พิธีเปิดงานการแข่งขัน
ในฐานะกรรมการ และในฐานะที่ปรึกษา วารุณีและลีน่าต้องเข้าร่วม
ทั้งสองมาถึงห้องการแข่งขัน กรรมการและผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ทั้งหมดรวมอยู่ที่นี่แล้ว
กรรมการหลายคน วารุณีและลีน่าต่างรู้จัก เพราะหลายคน ก็เคยร่วมงานการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งก่อน
พูดถึง ก็คือฝ่ายตรงข้าม
แน่นอน ต่อไปก็เป็นผู้ต่อสู้เช่นกัน
วารุณีและลีน่าถือแก้วไวน์ไปทำความรู้จักและพูดคุยกับกรรมการคนอื่นๆ ถึงแม้จะเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่ก็รู้จักกันทั้งนั้น ไม่ทักทายไม่ได้
และผู้แข่งขันคนอื่นๆ ไม่ว่าจะรู้จัก หรือไม่รู้จัก ต่างก็เข้าหาทำความรู้จักกัน เพราะต่อไป พวกเขาอาจเป็นเพื่อนร่วมทีม และอาจจะเป็นฝ่ายตรงข้าม
รู้จักกันเยอะหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ถ้าหากสุดท้ายแล้วเป็นทีมเดียวกัน รู้จักกันมากหน่อย ก็จะร่วมมือกันได้ดี
ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้าม การรู้จักกันมากหน่อย หลังจากนั้นภายในการแข่งขัน ก็จะควบคุมได้ดีขึ้น
ดังนั้นพูดตรงๆ คือ การเปิดประชุมครั้งนี้ คือการให้ระหว่างกรรมการ และผู้เข้าแข่งขันทำความรู้จักกัน เป็นเวทีให้เรียนรู้กันอย่างลับๆ
“จุ๊บแจง เธอกำลังมองอะไรอยู่เหรอ?”
มุมงานเลี้ยง จุ๊บแจงถือแก้วเหล้า ตาสองข้างหรี่เล็กน้อย มองไปทิศทางข้างหน้าด้วยสายตาเกลียดชังเล็กน้อย
เธอได้ยินเสียงผู้เข้าแข่งขันข้างๆ ถามด้วยความสงสัย จึงรีบเก็บสายตาความเกลียดชังแล้วยิ้ม “เปล่าหรอก พอดีเห็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี”
“รู้สึกไม่ดี?ใคร?” ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นถาม
จุ๊บแจงชี้ไปที่วารุณีที่อยู่ห่าง “เธอคนนั้น”
“ฉันดูหน่อย” ผู้เข้าแข่งขันเงยหน้ามอง เมื่อมองเห็นวารุณี ดวงตาก็เป็นประกาย “สวยมาก หุ่นก็เพอร์เฟค นิสัยก็ดี ถ้าไม่ติดว่าตัวไม่ค่อยสูง ฉันเชิญเธอมาเป็นนางแบบฉันจัง ถ้าเธอมาเป็นนางแบบของฉัน เธอต้องเป็นมิ้วส์ของฉันแน่”
เมื่อได้ยินผู้เข้าแข่งขันชมวารุณี จุ๊บแจงก็สีหน้าไม่ดี
ผู้เข้าแข่งขันไม่สังเกตุเห็นความแตกต่างของเธอ จึงจับที่มือเธอ แล้วถามอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้วจุ๊บแจง เธอรู้จักเธอนี่ งั้นเธอพาฉันไปหน่อยได้ไหม ช่วยแนะนำให้ฉันรู้จักเธอหน่อย?เธอสวยมากเลย ในฐานะนักออกแบบ แม้เธอจะมาเป็นนางแบบให้ฉันไม่ได้ ฉันได้มองเธอ ฉันก็รู้สึกว่าฉันมีแรงบันดาลใจขึ้นมาก ใช่แล้ว เธออยู่ที่นี่ ก็ต้องเป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกายเหมือนกันน่ะสิ?”
“ใช่ เธอไม่ได้เป็นแค่นักออกแบบ เธอยังเป็นกรรมการและที่ปรึกษาของพวกเราด้วย” จุ๊บแจงหรี่ตามอง พูดเสียงแหลม
ใช่ เธอรู้ว่าวารุณีจะมาเป็นกรรมการและที่ปรึกษาการแข่งขันครั้งนี้ เลยให้ลูกเศรษฐีที่เธอเคยดูถูกไว้เมื่อก่อน ให้ช่วยตัวเองได้รายชื่อการแข่งขันนี้ หลังจากนั้นก็เข้ามาร่วมการแข่งขันนี้
เธออยากให้นัทธีเห็น ว่าวารุณีทำได้ เธอก็ทำได้เหมือนกัน
วารุณีแค่ออกแบบเก่งไม่ใช่เหรอ เพียงเธอมีรายชื่ออยู่ลำดับสูงๆ ในการแข่งขันครั้งนี้ นัทธีก็จะต้องมองเธอสูงขึ้นอย่างแน่นอน
เธอก็จะสามารถยืนตรงหน้าเขา บอกเขา ว่าเธอไม่ได้แย่ไปกว่าวารุณี
กลับกันเธอกลับรู้สึกว่า ที่นัทธีรักวารุณี นอกจากหน้าตาของวารุณี ก็มีความสามารถในการออกแบบวารุณี ที่สามารถช่วยบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปออกแบบเสื้อผ้าได้
เพียงแค่เธอเป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียง เธอก็จะสามารถออกแบบชุดให้บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปได้ ถึงตอนนั้น วารุณีก็ไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นแล้ว
จุ๊บแจงคิดหลอกตัวเองอยู่ในใจ
ข้างๆ ที่ฟังเธอแนะนำวารุณี สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เธอว่าอะไรนะ?เธอบอกว่าเธอเป็นกรรมการกับที่ปรึกษาเหรอ?”
“ใช่” จุ๊บแจงพยักหน้า
“พระเจ้า เก่งเกินไปแล้ว” สายตาที่ผู้เข้าแข่งขันมองไปที่วารุณีอีกครั้ง เป็นประกายมากกว่าเดิม ลึกเข้าไปในดวงตา คือแววตาที่มีแต่ความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “ฉันได้ยินมาว่ากรรมการและที่ปรึกษาที่เชิญมาปีนี้ ถึงแม้จะอายุน้อย แต่ต่างก็เป็นนักออกแบบที่มีพรสวรรค์ในการออกแบบทั้งนั้น และก็มีชื่อเสียงระดับนานาชานี่ จุ๊บแจง เธอบอกฉันที ว่านักออกแบบคนนี้ชื่ออะไร?”
เธอดึงแขนจุ๊บแจง และเขย่าอย่างตื่นเต้น
จุ๊บแจงอยากชักแขนกลับมาก แล้วให้เธอไปถามเอง
แต่จุ๊บแจงรู้ ว่าตัวเองไม่ได้เป็นนักออกแบบชุดจริงๆ เพียงแต่ไปยืมผลงานของคนอื่นมาเพื่อที่จะพุ่งเข้าวงการนี้ ในวงการนี้ เธอไม่มีชื่อเสียง ไม่มีแบค และไม่มีเกียรติอะไรประดับร่างกาย นักออกแบบคนอื่นเลยไม่อยากคบหากับเธอ มีแต่ยัยโง่น่ารักคนนี้ที่เห็นว่าเธออยู่คนเดียว เลยเข้ามาคุยกับเธอ
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบยัยโง่นี่ แต่เธอก็ต้องยอมรับอย่างจำใจ ว่าตัวเองต้องการยัยโง่นี่ ช่วยให้เธอตั้งหลักได้ในแวดวงนี้ และต้องการยัยโง่คนนี้ ช่วยเธออธิบายเรื่องต่างๆ ที่ต้องติดตามในแวดวงนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไง เธอก็ไม่สามารถไล่ยัยโง่นี่ไปได้
ต่อให้ไม่ชอบ ก็ต้องทน
คิดอยู่ จุ๊บแจงก็สูดหายใจลึกๆ ฝืนใจยิ้ม ฉีกยิ้มแล้วพูด “เธอชื่อวารุณี”
“วารุณี?” ผู้เข้าแข่งขันเอียงคออย่างสงสัย “ชื่อนี้คุ้นหูจัง ฉันคิดก่อน……”
คิดอยู่สักแป๊บ ในที่สุดผู้เข้าแข่งขันก็นึกออก ดวงตาเป็นประกาย “เธอไง รองชนะเลิศอันดับสองการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งที่แล้ว ไม่ ถ้าไม่ใช่ว่าเธอถอนตัวออกจากการแข่งขัน เธอคงได้ที่หนึ่ง เธอคือที่สุดของสุดยอดนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะสวยขนาดนี้ จุ๊บแจง เธอโชคดีมากเลยนะ ที่รู้จักกับนักออกแบบอย่างนี้”
“แหะๆ ……” จุ๊บแจงยิ้มตอบรับ แต่หัวใจเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว
โชคดี?
เธอมึคิดว่าการที่ตัวเองได้รู้จักกับวารุณีเป็นโชคดีนะ เธอรู้สึกว่าโชคร้ายขั้นสุด รู้สึกว่าวารุณีมาครอบงำเธอ
ถ้าไม่มีวารุณี เธอก็คงได้คบกับนัทธีไปแล้ว เธอช่วยนัทธีไว้ นัทธีไม่เปลี่ยนใจมาหาเธอเลยได้ยังไง
กลับอยู่ดีๆ วารุณี ก็มาจับเธอแยกกับนัทธีทั้งเป็น
ไม่ใช่แค่นี้ วารุณีผู้หญิงคนนี้ ยังขัดขาเธอจากด้านหลัง เมื่อไม่กี่วันก่อน ยังจับเธอส่งสถานที่กักกัน โกรธเธอแทบตายจริงๆ
“จุ๊บแจง ว่าไป สไตล์การออกแบบของเธอกับคุณวารุณีถึงคล้ายกันจังล่ะ” ตอนนี้ อยู่ๆ ผู้เข้าแข่งขันก็พูดประโยคนี้ขึ้น
จุ๊บแจงหัวใจเต้นรัวทันที ล่องลอยความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่เธอตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานความตื่นตระหนกก็ถูกเก็บไป