พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 772 ไอริณเป็นหวัด
แน่นอนว่า หึงน่ะมี
เพราะเทียบกับลูกทั้งสองคนแล้ว เขาให้ความสำคัญกับเธอมากกว่า
ดังนั้นส่วนนี้ การรับรู้ของเขาแตกต่างจากเธอ
เพราะเด็กๆไม่ได้ออกมาจากตัวเขา ถึงเขาจะรักลูก แต่ในความรู้สึกแล้ว ไม่มีทางที่จะชนะความรู้สึกที่เธอมีต่อลูกแน่นอน
เทียบกับเด็กๆแล้ว เธอที่อยู่ในใจเขา สำคัญกว่ามาก
คิดไป นัทธีก็ผลักวารุณีเบาๆ จากนั้นภายใต้แววตาที่สงสัยของวารุณี ก็เงยคางเธอขึ้น จูบลงไป
เขาจูบอย่างออกแรง และครอบงำมาก อาจเป็นเพราะอยากแสดงให้เห็นว่าลึกลงในใจของตัวเอง เธอสำคัญกว่ามากออกมา
วารุณีคิดไม่ถึงว่าจู่ๆนัทธีจะมานี่ ทำให้ตกใจ
พอได้สติคืนมา มองลีน่าที่ยิ้มอย่างสับปลับ และมารุตที่ปิดตาเด็กทั้งสอง และพวกเหล่าบอดี้การ์ด ทั้งหน้าเธอ แดงจนเกือบเหมือนเลือด
“อื้อ……”วารุณีรีบผลักชายหนุ่ม อยากดันชายหนุ่มออก
แต่ชายหนุ่มกลับกอดเธอไว้แน่น ไม่อาจผลักได้
วารุณีทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยกมือขึ้น วางไว้ที่เอวชายหนุ่ม ออกแรงบีบเนื้อนุ่มๆที่เอวของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มเจ็บ จึงปล่อยวารุณีออก จากนั้นมองเธอด้วยสายตาขุ่นเคือง ชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจที่เธอหยิกเขาทำไม
วารุณีถอยหลังไป ลูบริมฝีปากสีแดงของตัวเอง จ้องเขาอย่างเซ็งๆ“ยังจะบอกทำไมอีก ที่นี่คนตั้งเยอะ คุณไม่กลัวพวกเขาหัวเราะเหรอ?”
“พวกเขากล้าหัวเราะเหรอ?”นัทธีเหลือบมองมารุตลีน่าและพวกบอดี้การ์ดอย่างเยือกเย็น
เหมือนกำลังถามว่า พวกแกกล้าขำไหม?
ล้อเล่น พวกเขาจะกล้าได้ไง!
ยังอยากทำงานอยู่ไหม?
มารุตและคนอื่นส่ายหน้าไปมา สื่อว่าไม่กล้าขำ
นัทธีจึงละสายตากลับอย่างพอใจ มองไปที่วารุณี“ไม่มีใครขำ”
วารุณียกมุมปาก“คุณทำแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าสิ ช่างเถอะๆ พวกเราไปก่อนเถอะ หยุดอยู่นี่ไม่ดี เดี๋ยวมีคนออกมาอีก”
“ไปเถอะ”นัทธีจูงมือของเธอ เดินไปข้างหน้า
มารุตก็เปิดตาของเด็กทั้งสองออก จูงมือเด็กข้างละคน เดินตามหลังทั้งสอง
ทำอะไรไม่ได้ สองคนพ่อแม่นี้สนแต่แสดงความรัก เรื่องดูแลเด็กๆ ก็ตกมาที่เขาที่เป็นลูกน้อง
พวกเขา เดินไปที่ด้านนอกสนามบิน แป๊บเดียวก็ขึ้นรถ ขับไปที่คฤหาสน์
พอถึงคฤหาสน์ ลีน่าก็หายไป
จากที่เธอบอก ก็คือพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกต้องการพื้นที่ เธอเป็นกขค คนโสดอะไรแบบนั้น อย่าอยู่ดูพวกเขาแสดงความรักเลย ไม่งั้นจะเหนื่อยใจตัวเอง ออกไปเดินเล่นดีกว่า
ส่วนนัทธี พอใจอย่างมาก กับความคิดได้ของลีน่า
“หม่ามี๊ หนูหิว”ตอนนี้เอง ไอริณนั่งอยู่บนโซฟา ลูบท้องเล็กๆ พูดอย่างน่าสงสาร
วารุณีเดินไป ลูบหัวเธอ“หิวแล้วเหรอ โอเค หม่ามี๊จะให้ที่ครัวทำอาหารให้ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว ทนหน่อยโอเคไหม?”
“อือ”ไอริณพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง“ค่ะ”
“เด็กดีมาก”วารุณีหัวเราะ จากนั้นหาพวกบิสกิต ให้เด็กทั้งสองคน ให้พวกเขารองท้องก่อน
จากนั้น วารุณีก็เทชาให้นัทธีถ้วยหนึ่ง“ใช่สิ ที่สนามบินก่อนหน้านี้ ฉันได้ยินที่สนามบินบอกว่าเครื่องลงแล้ว ทำไมพวกคุณออกมานานจัง?”
ว่าตามเหตุผลแล้ว เครื่องบินลงจอด อย่างมากก็สิบกว่านาที พวกเขาก็ออกมาได้แล้ว ยังไงก็ไม่ต้องไปรอกระเป๋าอะไร
แต่เธอรอยี่สิบกว่านาที พวกเขาก็ยังไม่ออกมา
ดังนั้นเธอกังวลมากว่าสามคนพ่อลูก จะเกิดเรื่องหรือไม่
นัทธีมองความเป็นห่วงในแววตาของวารุณีออก ก็รับถ้วยชาไปแล้วดื่มไปคำหนึ่งพูดว่า:“ไอริณเป็นหวัดเล็กน้อย ดังนั้นเลยเมานิดหน่อยบนเครื่อง พอตื่นมาลงจากเครื่องก็อ้วก ดังนั้นเลยพาเธอไปจัดการ ก็เลยช้าเล็กน้อย”
“เป็นหวัดจนอ้วก?”วารุณีถามออกไป แล้วก็รีบไปดูอาการของไอริณ“ไอริณ บอกหม่ามี๊มา ตอนนี้ไม่สบายตรงไหนไหม?”
ถ้าไม่สบาย เธอจะเรียกหมอมาทันที
ไอริณส่ายหน้า “ไม่เป็นไรแล้วหม่ามี๊ ไอริณสบายดีค่ะ”
เด็กสาวตบหน้าอกเล็กๆของตัวเอง สื่อว่าไม่เป็นไร
วารุณีจ้องเธอสักพักอย่างละเอียด แน่ใจว่าสติเธอยังดี ใบหน้าก็มองไม่ออกว่าเป็นหวัด จึงโล่งอก“ไม่เป็นไรก็ดี ทำเอาหม่ามี๊ตกใจหมด”
“ขอโทษค่ะหม่ามี๊”ไอริณขอโทษอย่างรู้สึกผิด
วารุณีแตะหน้าผากของเธอ พบว่าไม่มีใครแล้วจริงๆ ก็วางใจเหมือนเดิม“ไม่เป็นไร แต่เป็นหวัด ทำไมไม่โทรบอกหม่ามี๊ล่ะ?”
“หม่ามี๊กำลังทำงาน ก็เหนื่อยมากแล้ว ไอริณไม่อยากให้หม่ามี๊เป็นห่วง”เด็กสาวพูดอย่างคิดเป็น:“และพ่อก็อยู่ ไอริณเป็นหวัด พ่อเป็นห่วงแล้ว เมื่อคืนอยู่กับไอริณทั้งคืน ใช่ไหมคะพ่อ”
เด็กสาวมองไปที่นัทธี
อารัณก็พยักหน้าไปมา“ผมรับประกัน เพราะผมก็อยู่”
“วางใจเถอะ แค่เมื่อคืนไอริณหลับแล้วถีบผ้าห่มจนตากลมเย็นไป ดังนั้นเลยเป็นหวัดเล็กน้อย สักสองวันก็หายแล้ว”นัทธีตบมือของวารุณี สื่อว่าให้เธออย่าเป็นห่วง
วารุณีหัวเราะ“ฉันรู้ จิตวิญญาณของไอริณไม่แย่เลย ดูออกว่าเดี๋ยวก็ฟื้นฟูได้เร็ว”
“อือ”นัทธีพยักหน้า
ตอนนี้เอง คนใช้ในคฤหาสน์ก็เดินมา“คุณหญิง อาหารค่ำเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทานในห้องทานอาหารได้เลยค่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันไปจัดการก่อน”วารุณีพูดกับคนใช้
คนใช้ตกลง หันกลับออกไป
วารุณียืนขึ้นมา“ไป กินข้าวกันเถอะ”
เธอเอาขนมในมือของลูกทั้งสองคนไป วางไว้ที่โต๊ะน้ำชา จากนั้นอุ้มเด็กทั้งสองคนลงมาจากโซฟา ตบก้นของพวกเขา“เอาล่ะ กินข้าวเถอะ”
“เย้ กินข้าว”เด็กทั้งสองคนจูงมือกันอย่างดีใจ วิ่งไปทางที่คนใช้เดินไป
วารุณียืนมองแผ่นหลังที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวาของเด็กทั้งสองคนอยู่ที่เดิม ในใจทั้งมีความสุข และไม่สบายใจเล็กน้อย“เมื่อไหร่กัน ที่สุขใจจะเหมือนกับอารัณไอริณ ที่กระโดดอย่างร่าเริงแบบนี้”
“ได้แน่”นัทธียืนอยู่ข้างเธอ มองร่างของลูกทั้งสองคนกับเธอ“พวกเรามีเงิน จ้างเชฟที่ดีที่สุดให้สุขใจ ดูแลร่างกายของสุขใจได้ ถึงสุดท้ายระบบร่างกายของสุขใจจะไม่เหมือนคนทั่วไปได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ป่วย วิ่งช้าๆ ก็สามารถทำได้”
โดนเขาพูดแบบนี้ ในใจวารุณีก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
นัทธีโอบเอวของเธอ“เอาล่ะ ไปเถอะ กินข้าว”
“อือ”วารุณีพยักหน้า
สองสามีภรรยาก็เดินไปทางที่เด็กๆออกไป ไปกินข้าวที่ห้องทานข้าว
ทานข้าวเสร็จ ก็ประมาณเที่ยงคืน
น้อยมากที่เด็กทั้งสองคนจะอดหลับอดนอน ตอนนี้เลยง่วงสุดๆ แต่ละคนดูเหี่ยวเฉา
วารุณีมองแล้วก็ขำ อุ้มกับนัทธีคนละคน อุ้มไปที่ห้องและปักหลักลง
จนลูกทั้งสองคนนอนหลับอยู่บนเตียงสนิท วารุณีก็หาว อยากนอนหลับเล็กน้อย
แต่กลับไปที่ห้อง หลังจากนัทธีปิดประตู จู่ๆกลับกอดเธอจากด้านหลัง
วารุณีตะลึง ที่ได้สติคืนมาคือเขา ก็ปล่อยไปอีกครั้ง“ทำไมเหรอ?”
เธอถามยิ้มๆ
นัทธีก้มลงกัดติ่งหูของเธอ“ภรรยา อยู่กับลูกๆนานแล้ว อยู่กับผมบ้างสิ?”
วารุณีเบิกตาโต ได้สติคืนมาทันที“คุณคงไม่ได้อยาก……”
นัทธีหัวเราะเสียงทุ้ม ชัดเจนว่าหมายความเช่นนี้
วารุณีรีบส่ายหน้า ขณะเดียวกันก็ปัดมือของเขา อยากเอามือของเขาออกจากเอว“ไม่ได้ๆ คุณนั่งเครื่องบินตั้งนาน ไม่เหนื่อยเหรอ?”
“พักบนเครื่องบินแล้ว ไม่เหนื่อย”ริมฝีปากนัทธีละลงไป จากติ่งหู ย้ายไปที่คอ