พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 78 กดขี่สตูดิโอ
รู้ว่าเธอจะพูดอะไร แววตาของวารุณีเปล่งประกายขึ้น รีบพูดตัดประโยคของเธอ “ไม่ใช่ ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่หรอ พ่อแท้ๆ ของอารัณและไอริณ คือตาเฒ่าที่อายุประมาณ50”
ได้ยินประโยคนี้แล้ว ทันใดนั้นปาจรีย์ก็เหมือนถูกบั่นถอนจิตใจเลย ความตื้นตันก็หายไปเลยทันที ถอนหายใจด้วยความเสียใจ “หน้าตาคล้ายกันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ”
วารุณีหัวเราะเฮอะๆ เปลี่ยนหัวข้อการพูดคุย “พอแล้ว ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว เด็กๆ สองคนล่ะ?”
“เมื่อกี้เล่นเกมส์จนเหนื่อยหลับไปแล้ว” ปาจรีย์ตอบกลับ
“ฉันไปดูแป๊บ” วารุณีเปลี่ยนรองเท้าแล้วเข้าห้อง
ปาจรีย์ปิดประตู เข้าไปพร้อมกับเธอ
เห็นเด็กทั้งสองหลับสนิทอยู่บนเตียงน้อยๆ วารุณีรู้สึกอบอุ่นใจมาก “จะว่าไป ก็ลำบากเธอแล้ว”
“ไม่เป็นไรเลย” ปาจรีย์โบกมือ แสดงออกว่าไม่ต้องขอบคุณ
วารุณีค่อยๆ ปิดประตูห้องของเด็กทั้งสองลงเบาๆ “ดื่มหน่อยไหม?”
“ได้สิ” ดวงตาของปาจรีย์เปล่งประกายขึ้นทันที
วารุณีไปหยิบเบียร์ที่ห้องครัวมาสองกระป๋อง โยนให้เธอไปหนึ่งกระป๋อง
ปาจรีย์ใช้สองมือรับไว้ เปิดฝาขวดเลย เงยหน้าขึ้นแล้วดื่มเลย “เยี่ยมมาก!”
วารุณียิ้ม ก็ดื่มไปคำหนึ่งเหมือนกัน จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ของสตูดิโอ
ตั้งแต่ที่ไปบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว เธอก็ไม่ได้ไปที่สตูดิโออีกเลย
ตอนนี้ที่สตูดิโอมีแต่ปาจรีย์จัดการอยู่คนเดียว เป็นยังไงบ้าง เธอไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ปาจรีย์ได้ยินคำถามของเธอแล้ว ความเร็วในการดื่มเบียร์ก็ช้าลง สีหน้าก็ดูหนักแน่นขึ้น
วารุณีเห็นแล้ว วางเบียร์ลง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ปาจรีย์ขยี้ผม “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็คือช่วงเวลานี้ มีสตูดิโอสำนักหนึ่งที่ใหญ่กว่าพวกเรามาก กำลังกดขี่พวกเราอยู่”
“เหตุผลล่ะ?” วารุณีขมวดคิ้ว
“อิจฉาไงล่ะ!” ปาจรีย์บีบกระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือของเธออย่างแรง พูดด้วยความโมโหว่า “เธอให้ภาพออกมาแบบมาโดยตลอดไม่ใช่หรอ ดังนั้นเสื้อผ้าที่สตูดิโอของเราที่ออกมาต่างก็เป็นแบบใหม่หมด อัพเดทก็เร็ว สตูดิโอของเขาก็เลยส่งคนมาล่าตัว อยากจะล่าตัวเธอไป”
“อ่อ?” วารุณียักคิ้ว
ปาจรีย์เบ้ปากด้วยความไม่พอใจ “เธอเป็นถึงหัวหน้าของสตูดิโอเราเลยนะ ยังเป็นหัวหน้านักออกแบบอีก ฉันโง่หรอถึงไปตกลงพวกเขา จากนั้นพวกเขาเริ่มมาต่อต้านพวกเรา ยังทำลายความร่วมมือระหว่างพวกเรากับโรงงานเสื้อผ้าโรงงานหนึ่งด้วย ไม่เพียงแต่เท่านี้ ยังขโมยใช้การออกแบบของเราด้วย”
“สตูดิโอนั้นชื่อว่าอะไร? หัวหน้าคือใคร?” วารุณีเม้มปากแล้วถาม
ปาจรีย์ดื่มเบียร์คำสุดท้ายที่อยู่ในกระป๋องที่ถูกบีบจนแบน “สตูดิโอชื่อมูนไลท์ สำหรับหัวหน้าคือใคร ฉันไม่รู้จริงๆ ลึกลับมาก”
“เดี๋ยวฉันให้อารัณตรวจดูละกัน” คิดไปคิดมา วารุณีพูด
ถึงแม้ว่าใช้วิธีแบบนี้ตรวจสืบคนอื่นจะไม่ค่อยดี
แต่ว่าเธอเกลียดศัตรูที่หลบอยู่ลับหลัง ไม่ทำให้เข้าใจชัดเจน จะสามารถถูกวางแผนได้ตลอดเวลาเลย
“ได้ ถ้าสืบชัดเจนแล้ว บอกฉันด้วย” ปาจรีย์ลุกขึ้น
วารุณีรู้ว่าเธอกำลังจะไปแล้ว พยักหน้าตอบกลับ
กลางคืน อารัณตื่นแล้ว วารุณีจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
ต่อมาอารัณก็สืบเจอเบื้องหลังหัวหน้าของสตูดิโอนี้
วารุณีเห็นแล้ว ก็หัวเราะออกมา
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยกันมากนะ พิชญา!
ตอนที่ได้ยินชื่อมูนไลท์ เธอก็น่าจะต้องคิดได้แล้ว
“หม่ามี๊ หม่ามี๊กับผู้หญิงคนนี้มีวามขัดแย้งกันใช่ไหมครับ” อารัณเห็นวารุณีหัวเราะ จึงถามขึ้น
วารุณีมองเขา “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ?”
“เพราะว่าที่ไหนก็มีแต่เธอ หม่ามี๊ทำงานที่บริษัทของคุณอานัทธี เธอก็รังแกหม่ามี๊ ตอนนี้ยังใช้สตูดิโอของเธอรังแกสตูดิโอของหม่ามี๊อีก ช่างน่ารังเกียจจริงๆ เลย!” อารัณกำหมัดแน่นแล้วพูด
“ใช่แล้ว ช่างรังเกียจมากจริงๆ!” ไอริณก็เข้าร่วมด้วย
วารุณีลูบหัวของเด็กทั้งสอง คิดจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นอารัณหรี่ตาขึ้นมา “หม่ามี๊ ผมช่วยหม่ามี๊สั่งสอนเธอ!”
ฟังออกถึงความเย็นชาในประโยคของเขา วารุณีขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่า อารมณ์ของเด็กคนนี้ค่อนข้างร้าย
“อารัณ!” วารุณีเอามือค้ำแก้มของอารัณ ก้มหน้าแล้วมองเขาอย่างจริงจัง “ฟังนะ เรื่องของหม่ามี๊ หม่ามี๊จัดการเอง ไม่จำเป็นต้องให้หนูออกมือนะ หนูก็ห้ามออกมือคนเดียว รู้ไหม?”
เธอรู้มาตลอดว่าอารัณนั้นฉลาดมาก ดังนั้นจึงโตเร็ว แต่ว่าเขาโตเร็วไม่ได้แสดงว่าความคิดและจิตใจของเขาจะโตตามไปด้วย เธอไม่อยากให้อารัณที่อายุน้อยๆใกล้ชิดกับโลกมืดของผู้ใหญ่มากด้วยเหตุผลจากเธอ นี่ไม่ดีต่อการเติบโตของอารัณ
เธอถึงขั้นเริ่มรู้สึกเสียใจการกระทำที่ให้อารัณสืบเรื่องพิชญาเมื่อกี้แล้ว แต่ว่ายังไงดีที่สังเกตเห็นได้เร็ว ต่อจากนี้ไม่ทำแบบนี้อีกก็พอแล้ว
อารัณไม่รู้ว่าวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นเธอจริงจังแบบนี้ ไม่กล้ายั่วโมโหเธอ พยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง “รู้แล้วครับหม่ามี๊!”
“เชื่อฟังดีมาก!” วารุณีเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง
ไอริณเอียงศีรษะ มองดูทั้งสองด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าหม่ามี๊กับพี่ชายกำลังพูดคำใบ้อะไรกันอยู่
“พอแล้ว ไปเล่นเถอะ หม่ามี๊โทรหาแม่บุญธรรมก่อน” วารุณีหยิบโทรศัพท์ออกมาโบกไปมา
อารัณกระโดดลงจากเก้าอี้ ดึงมือไอริณไปที่ห้องรับแขก
วารุณีโทรหาปาจรีย์ติดแล้ว พูดเรื่องของมูนไลท์อย่าละเอียดให้เธอ
จากนั้นทั้งสองปรึกษากัน ใช้นามของเรื่องขโมยการออกแบบ ฟ้องร้องมูนไลท์ สตูดิโอ เชื่อว่าพรุ่งนี้พิชญาก็คงจะได้รับหมายเรียกตัวจากศาลสินะ?
คิดอยู่ วารุณีก็ยิ้มขึ้นมา
แต่ว่าคดีความครั้งนี้ เธอไม่ได้คิดที่จะออกตัว อำนาจทั้งหมดให้ปาจรีย์จัดการหมดเลย
เพราะว่าเธอยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนชั่วคราว ตัวเองก็คือดีไซเนอร์ที่พิชญาอยากจะล่าตัวไป
วันถัดไป
วารุณีกำลังวาดแบบที่ตอบตกลงจะคืนให้นัทธีในออฟฟิศ จู่ๆ โทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
ดินสอบนมือของเธอไม่ได้หยุด มืออีกข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางอยู่ข้างหู “สวัสดีค่ะ ฉันคือวารุณี”
“คุณวารุณี ทางดิฉันนี้คือหน้าเคาน์เตอร์ของห้องโถงชั้นหนึ่งค่ะ” มีเสียงที่อ่อนโยนน่าฟังของผู้หญิงพูดขึ้น
วารุณีตอบกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้นเลย “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คืออย่างนี้ค่ะ มีคุณผู้หญิงท่านหนึ่งมาหาคุณค่ะ”
“ผู้หญิง?” วารุณีอึ้งไปเลย “ชื่อเต็มคืออะไรคะ?”
“คุณผู้หญิงไม่ยอมเปิดเผยค่ะ เธอให้ฉันบอกคุณว่า หลังจากนี้สิบนาที เจอกันที่Chill Coffee Barค่ะ”
“ฉันรู้แล้วค่ะ” วารุณีวางสายลง กัดริมฝีปากครุ่นคิด
ไม่ยอมเปิดเผยชื่อ ลึกลับขนาดนี้ คือใครกันแน่เนี่ย?
คิดไปสักพักก็คิดไม่ออก วารุณีวางดินสอลงแล้วลุกขึ้น หยิบกระเป๋าขึ้นมา เตรียมตัวจะไปพบผู้หญิงคนนั้น
Chill Coffee Barอยู่ที่ข้างตึกใหญ่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ไม่กี่นาทีวารุณีก็มาถึงแล้ว
หลังจากที่เข้าไป เธอเห็นในร้านกาแฟที่กว้างใหญ่ มีเพียงตำแหน่งที่อยู่ข้างหน้าต่างมีคนนั่งไว้หนึ่งคน
คนคนนั้นหันหลังให้กับเธอ ไม่เห็นหน้า แต่ว่าสวมใส่ชุดเดรสทั้งตัว ม้วนผมขึ้น แต่งตัวดั่งคุณหญิงที่สูงส่ง
คงจะเป็นคุณผู้หญิงท่านนั้นสินะ?
คิดอยู่ วารุณีก็ยกเท้าเดินไป “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ใช่คุณที่จะพบฉันไหมคะ?”
คุณผู้หญิงวางกาแฟในมือลง เงยหน้าขึ้นสำรวจวารุณี ไม่มีเสียงตอบกลับ
วารุณีก็กำลังมองเธอ เธออายุประมาณราวๆ 50 แต่ว่าบำรุงผิวพรรณได้ดีมาก หน้าตาก็สวยมาก แต่ว่าโหนกแก้มค่อนข้างสูง ดูไม่ไม่ค่อยเป็นมิตร ทำให้ผู้คนเข้าหายาก
“คุณคือวารุณี?” ในที่สุดคุณผู้หญิงก็เปิดปากพูดแล้ว น้ำเสียงเย็นชามาก
วารุณีหยักหน้า “ใช่ค่ะ”
“เป็นผู้หญิงใจแตกไร้ยางอายจริงๆด้วย” คุณผู้หญิงพูดด้วยความรังเกียจ
ท่าทางที่วารุณีจะดึงเก้าอี้หยุดไป และขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่ว่าในไม่ช้า สีหน้าเธอก็ดูสงบเหมือนเดิม ดึงเก้าอี้ออกด้วยความเงียบสงบ ยิ้มแล้วตอบกลับ “ขอบคุณสำหรับชมของคุณผู้หญิงค่ะ”
“ฉันไปชมเธอเมื่อไหร่กัน?” คุณผู้หญิงทำสีหน้างง
วารุณีเสยผมไปยังหลังหู “เมื่อกี้เนี่ย คุณบอกว่าฉันคือผู้หญิงใจแตกไร้ยางอายนิคะ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ ผู้หญิงใจแตกไร้ยางอายคือคำชมว่าสวย ไม่ใช่คำด่าอีกต่อไปแล้ว หรือว่าคุณผู้หญิงไม่ได้เข้าอินเทอร์เน็ตหรอคะ?”