พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 783 ตัดสินใจจากไป
ทิ้งหนึ่งอย่าง……
ปาจรีย์กำโทรศัพท์แน่น
ความจริงแล้วมันชัดเจนในใจมาก ว่าควรจะเลือกแบบไหน เลือกพงศกร หรือลูกและพ่อแม่
เพียงแต่ในใจกลับถือว่าทั้งสองฝั่งมีความสำคัญเท่ากัน เธอจึงไม่สามารถตัดสินใจได้
แน่นอน ว่าแบบนี้มันไม่ได้ แล้วก็ไม่ถูกด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เธอจึงต้องเลือกหนึ่งอย่าง
เพียงตัวเลือกนี้เมื่อมันอยู่ที่ปาก แต่กลับพูดมันไม่ออก
ปาจรีย์ก้มหน้า สูดหายใจลึก “วารุณี ให้ฉันคิดให้ดีก่อนได้ไหม?ให้ฉันคิด”
“มีอะไรให้คิดดีๆเหรอ?” วารุณเหนื่อยใจเล็กน้อย “คำตอบมันก็อยู่ที่ใจเธอไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันรู้ ฉันแค่……”
“ปาจรีย์ ไม่มีแต่แล้ว” วารุณีถูขยับ “เรื่องนี้เรื่องด่วนมาก ต้องรีบตัดสินใจออกมา ฉันกับนัทธีถึงจะสามารถรีบจัดการให้เธอกับคุณลุงคุณป้าออกมาได้ ถ้ายืดออกไปอีก ยืดออกไปนาน พงศกรจับเธอผ่าตัดขึ้นมาจะทำยังไง?ถึงตอนนั้นใครจะไปช่วยเธอทัน?”
เมื่อได้ยินที่วารุณีพูด ปาจรีย์ก็หน้าสีเปลี่ยน
ใช่สินะ ถ้ายืดออกไปนาน พงศกรก็จะจัดการผ่าตัดเธอ พ่อกับแม่เธอก็ไม่ได้อยู่ด้วย พี่รพีก็อยู่โรงพยาบาล พวกวารุณีก็ไม่อยู่
ถึงตอนนั้น เธอก็จะไม่มีใครมาช่วยเธอจริงๆ แล้วเธอก็ไม่สามารถสู้กับพงศกรได้!
แต่สองวันนี้ พงศกรส่งคนมาล้างสมองเธอตลอด ให้เธอยอมทำแท้ง
เพราะเธออยู่ที่โรงพยาบาล พงศกรเลยใช้นโยบายนุ่มนวลนี้ แต่ถ้าเธอต้องการออกจากโรงพยาบาล พงศกรต้องบังคับพร้อมกับลากเธอเข้าไปในห้องผ่าตัดแน่ๆ
ต่อให้เธออ้างจะไม่ออกจากโรงพยาบาล อยู่ในโรงพยาบาลต่อ ใช้โรงพยาบาลเป็นสถานที่พักพิงก็ไม่โอเคแน่ๆ
โรงพยาบาลสามารถเป็นที่พักพิงให้เธอได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถเป็นที่พักพิงให้เธอได้ไปตลอดชีวิต
ถ้าหากว่าพงศกรหมดความอดทน ไม่สนใจอะไรแล้ว ต่อให้เธออยู่ในโรงพยาบาล พงศกรก็สามารถที่จะบังคับลากเธอเข้าห้องผ่าตัดได้เหมือนกัน
ถึงแม้พงศกรจะทำแบบนี้ ทำให้คนประนาฌ แต่เขายังมีทักษะทางการแพทย์ห้อยคออยู่ โรงพยาบาลเองก็จะช่วยพงศกร ไม่ช่วยเธอ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ร่างกายของปาจรีย์ก็สั่นสะท้าน ในใจมีแต่ความกลัว
ดังนั้น เธอไม่มีเวลาคิดทบทวนแล้วจริงๆ ต้องเลือกแล้วจริงเหรอ?
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกเคาะ ด้านนอกมีเสียงพยาบาลดังขึ้น “คุณปาจรีย์ ตื่นหรือยังคะ?”
สีหน้าปาจรีย์เปลี่ยนไปอย่างมาก นัยน์ตาหดลงเล็กน้อย ร่างกายสั่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงที่กำลังสั่น “ฉัน……ฉันตื่นแล้วค่ะ……”
เธออยากจะบอกว่าตัวเองยังไม่ตื่น แต่ประตูคนไข้มีกระจกติดอยู่พยาบาลที่ยืนอยู่ด้านนอก สามารถเห็นได้ว่าเธอตื่นหรือยังไอย่างชัดเจน
เธอจึงอยากแกล้งหลับ แต่ว่าทำไม่ได้
“งั้นฉันเข้าไปแล้วนะคะ” พยาบาลพูดจบ ไม่รอบให้ปาจรีย์ตอบรับ ก็เปิดประตูเข้ามาทันที
“คุณปาจรีย์ ได้เวลาตรวจร่างกายแล้วค่ะ ขออนุญาตถามวันนี้ไม่สบายยตรงไหนหรือเปล่าคะ?” พยาบาลหยุดรถเข็น หยิบอุปกรณ์ตรวจและยาขึ้นมาจากรถเข็น ยิ้มแล้วถาม
พยาบาลยิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่มองรู้สึกสบายใจ
แต่รอยยิ้มนี้ เมื่อตกอยู่ในสายตาของปาจรีย์ กลับราวกับว่าเป็นปีศาจ ทำให้ในใจเธอรู้สึกขวัญอ่อน
เพราะพยาบาลคนนี้ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นคนที่พงศกรจัดการมา ส่งมาล้างสมองเธอทุกวัน ให้เธอเอาเด็กออก
เพราะฉะนั้น เธอจะไม่กลัวได้ยังไง
ถ้าไม่ใช่ว่าจิตใจเธอเข้มแข็งพอ ก็กลัวว่าจะถูกพยาบาลคนนี้ล้างสมอง ตกลงยอมทำแท้งไปแล้ว
“ไม่ค่ะ ฉันสบายดี” ปาจรีย์ดึงมุมปาก ตอบอย่างแข็งทื่อ
ปลายสาย ภึงแม้ว่าวารุณีจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ได้ยินเสียงลางๆจากฝั่งปาจรีย์ว่ามีคนมา และคนที่มานั้น ก็ทำให้ปาจรีย์กลัวมาก ไม่อย่างนั้นเสียงของปาจรีย์คงไม่สั่นสะท้านแบบนี้
วารุณีไม่กล้าเปิดปาก กลัวว่าถ้าตัวเองเปิดปาก จะถูกคนจากฝั่งของปาจรีย์ได้ยินเข้า จากนั้นก็วางสาย สุดท้ายก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง
ถ้าหากว่าคนคนนั้นเกิดทำร้ายปาจรีย์ขึ้น เธออยากจะช่วยก็คงช่วยไม่ทัน
“ถึงคุณปาจรีย์จะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ยังไงก็ต้องตรวจนะคะ” พยาบาลเดินดิ่งเข้ามาหาปาจรีย์
ปาจรีย์กำโทรศัพท์แน่น ไม่พูดอะไร
พยาบาลเริ่มตรวจร่างกายตามปกติ หลังจากตรวจเสร็จ ก็ทำการจดบันทึก เพื่อเตรียมไปให้คุณหมอ
ปาจรีย์ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น มองแต่การเคลื่อนไหวของพยาบาล
รอจนพยาบาลเขียนเสร็จ หลังจากปิดประวัติคนไข้ คำสองคำก็ลอยขึ้นมาในใจของปาจรีย์ มาแล้ว!
“คุณปาจรีย์” พยาบาลยิ้มให้ปาจรีย์เล็กน้อย “เรื่องเด็ก คุณคิดว่ายังไงแล้วบ้างคะ?”
ปาจรีย์หลับตา “ฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันยังคงคำเดิม ฉันไม่ทำแท้งค่ะ เพราะฉะนั้นคุณไปบอกพงศกรได้เลย ให้เขาเลิกคิดเถอะ เด็กคนนี้เป็นของฉัน ฉันจะไม่ให้เขาต้องมารับผิดชอบ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องมาสนใจเด็ก เขาสามารถถือได้เลยว่าไม่มีลูก”
หลังจากพยาบาลได้ยินที่เธอพูด ก็ไม่โกรธ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิม
เพราะสิ่งที่ปาจรีย์พูด เธอฟังไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดรอบแล้ว
“แบบนี้คงไม่ได้หรอกค่ะ ทัศนคติของคุณหมอพงศกรหนักแน่นมาก เขาบอกว่า ในเมื่อคุณยังอุ้มท้องเด็กคนนี้อยู่ เขาก็ไม่สามารถถือว่าไม่มีเด็กคนนี้ได้ นอกจากว่าคุณจะเอาเด็กคนนี้ออก ให้ไม่มีเด็กคนนี้จริงๆแล้ว เขาถึงจะสามารถคิดว่าไม่มีลูกได้ เพราะฉะนั้นคุณปาจรีย์……”
“หยุดพูดได้แล้ว” ปาจรีย์เอามืออุดหู ตะโกนด้วยอารมณ์ฮึกเหิม: “ฉันจะไม่เอาเด็กคนนี้ออก พวกคุณเลิกคิดเถอะ”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณปาจรีย์จะไม่เอาเด็กออก ฉันเลยมาเกลี้ยกล่อมคุณปาจรีย์ไงคะ คุณเก็บเด็กคนนี้ไว้ก็ไม่มีความหมายอะไรจริงๆ นี่คะ มีแต่จะทำให้ชีวิตของคุณไม่สงบสุข เพราะฉะนั้นคุณปาจรีย์คะเพื่อครอบครัว เพื่อตัวเอง การเอาออกดีที่สุดนะคะ” พยาบาลพูด
ปาจรีย์โกรธจนสั่นไปทั้งหน้าอก แล้วท้องก็เริ่มเจ็บ เธอหอบจากอารมณ์โกรธพร้อมชี้ไปที่ประตู “ออกไป ออกไปจากฉัน!”
พยาบาลมองเห็นท่าทางของเธอ แล้วกลัวว่าเธอจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จึงยิ้มแล้วผลักรถเข็น “ค่ะ ฉันจะออกไป คุณปาจรีย์พักผ่อนนะคะ คุณหมอพงศกรบอกว่า เขาจะให้เวลาคุณคิดเป็นวันสุดท้ายค่ะ หวังว่าคุณจะหยิบยื่นคำตอบที่น่าพอใจให้เขานะคะ ไม่อย่างนั้น อย่าโทษเขานะคะ คุณปาจรีย์ก็ต้องชัดเจนเหมือนกัน คุณสู้เขาไม่ได้อยู่แล้วนะคะ”
พูดจบ พยาบาลก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินออกไป
ปาจรีย์นั่งลงที่เตียงคนไข้ นิ่งตะลึงอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็ปล่อยโฮยกใหญ่
พงศกร คุณจิตใจอำมหิตขนาดนี้จริงๆ เหรอ?
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของปาจรีย์ วารุณีก็ร้อนใจ “ปาจรีย์ ปาจรีย์?”
เธอเริ่มเอ่ยปากตะโกน
เมื่อปาจรีย์ได้ยินเสียงเธอ เสียงร้องก็หยุดลง หลังจากนั้นก็ราวกับจับเข้ากับฟางเข้าช่วยชีวิต รีบหยิบโทรศัพท์ แนบเข้าข้างหู “วารุณี ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย!”
ความจริงแล้ววารุณีได้ยินบทสนทนาของพยาบาลกับปาจรีย์แล้วอย่างคร่าวๆ รู้ว่าอยู่ๆ ทำไมปาจรีย์ถึงได้ฉุกละหุกขนาดนี้ ถอนหายใจ “ฉันยินดีช่วยเธออยู่แล้ว แต่เธอต้องตัดสินใจให้ชัดเจนเองนะ เธอไม่อยากจากพงศกรไม่เต็มใจไป ถึงฉันอยากช่วยฉันก็ช่วยไม่ได้นะ เธอเข้าใจไหมปาจรีย์?”
ปาจรีย์รีบพยักหน้า “ฉันเข้าใจ วารุณี ฉันไป ฉันยอมไปจากจังหวัดจันทร์ ฉันยอมไม่เจอเขาอีก”
ที่พยาบาลพูดเมื่อกี้ ทำให้เธอรู้ ว่าเธอหมดเวลาที่จะคิดว่าควรจะเลือกยังไง
เธอเลือกได้แค่อย่างเดียว คือออกไปจากจังหวัดจันทร์ ไปจากพงศกร ไม่เจอเขาอีกตลอดไป
มีแค่ตัวเลือกนี้ตัวเลือกเดียวเท่านั้น ลูกของเธอ พ่อแม่ของเธอ เพื่อนของเธอ ถึงจะสงบลงได้
ดังนั้น เธอจะลังเลไม่ได้อีกต่อไป หากลังเลต่อไป เธอจะไม่ได้อะไรเลย สุดท้าย ก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต
วารุณีพูดถูก ในเมื่อเธอเลือกที่จะปล่อยพงศกร งั้นเจอหรือไม่เจอพงศกรมันจำเป็นอะไร?
พบเจอแล้วก็มีแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับตัวเอง ไม่เจอ ไม่แน่อาจจะลืมเขาได้จริงๆ !