พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 788 ความสงสัยในตัวเองของพงศกร
เมื่อมองไปที่ใบหน้ามืดมนของพงศกร นัทธีขำเยาะเย้ย “ทำไม โดนฉันจี้จุดเหรอ?ความจริงแล้วพงศกร นายไม่มีสิทธิ์ไปโกรธตระกูลจิรดำรงค์หรอกนะ”
“นายพูดอะไร?” สีหน้าพงศกรแทบมองไม่ได้ “ฉันไม่มีสิทธิ์เกลียดตระกูลจิรดำรงค์?ตระกูลจิรดำรงค์ทำพ่อแม่ฉันตาย นายบอกฉันว่า ฉันไม่มีสิทธิ์เกลียดเหรอ?นายเอาอะไรมาพูด?”
“ก็เอามาจากที่ฉันเช็คเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น” นัทธีไขว้มือแล้ววางไว้ที่หน้าท้องของเขา “ฉันเคยเช็ค สิบกว่าปีก่อน ตระกูลจิรดำรงค์ยื่นมือ ช่วยเหลือครอบครัวของนายให้หลบซ่อน ถึงทำให้ครอบครัวนายสามคน มีชีวิตยาวขึ้น เพราะฉันนั้นถ้ไม่มีตระกูลจิรดำรงค์ ตระกูลอิสริยานนท์ของนายก็มอดไปนานแล้ว และก็คงไม่มีชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้น ตระกูลจิรดำรงค์ไม่ใช่แค่คนที่ไม่ได้ฆ่าพ่อแม่นาย กลับกัน ยังควรเป็นผู้พระคุณต่อตระกูลอิสริยานนท์อย่างนาย”
“ผู้มีพระคุณ?” พงศกรราวกับได้ยินเรื่องตลก พร้อมรอยยิ้มโหดเหี้ยม “ในความคิดนาย ตระกูลจิรดำรงค์กลับเป็นผู้มีพระคุณของฉันเหรอ?”
“แน่นอน ตระกูลจิรดำรงคือผู้มีพระคุณนาย ฉันพูดไปแล้ว ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากตระกูลจิรดำรงค์ ตระกูลอิสริยานนท์ของนายก็มอดไปแล้ว ไม่มีโอกาสที่นายจะรอดมาได้ อีกอย่างนายอย่าลืมสิพงศกร คนี่ถูกตามฆ่าคือตระกูลอิสริยานนท์ของพวกนาย ไม่ใช่ตระกูลจิรดำรงค์ อีกอย่างคนที่เข้าขอความช่วยเหลือจากตระกูลจิรดำรงค์ ก็เป็นตระกูลอิสริยานนท์ ไม่ใช่ตระกูลจิรดำรงค์เอ่ยปากช่วย ตระกูลจิรดำรงค์ช่วยเพราะยึดมั่นในสัจจะ แต่ความจริงตระกูลจิรดำรงค์เลือกที่จะไม่สนใจก็ได้ ไม่ช่วยตระกูลอิสริยานนท์ของพวกนายก็ได้ แต่ท้ายสุดตระกูลจิรดำรงค์ก็เลือกที่จะช่วย ยอมเสี่ยงที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปช่วยตระกูลอิสริยานนท์ของพวกนาย ดังนั้นนายมีสิทธิ์อะไรไปเกลียดพวกเขา?”
นัทธีมองที่พงศกร
ด้วยความเคารพเขาไม่เข้าใจกลไกของสมองพงศกรเลยจริงๆ
สรุปในเรื่องนี้ ตระกูลจิรดำรงค์ไม่มีความผิดอะไรเลย หากจะชี้ข้อผิด ก็คือถือมั่นในสัจจะเกินไป
ถ้าหากตระกูลจิรดำรงไม่ยื่นมือช่วยในปีนั้น ตระกูลจิรดำรงค์ก็คงไม่ถูกพงศกรเกลียดมาเป็นสิบกว่าปี
ปาจรีย์ก็ไม่ต้องมารักพงศกร และเจ็บปวดมาหลายปีขนาดนี้
ดังนั้นในปีนั้นตระกูลจิรดำรงค์ไม่ควรยื่นมือเข้าช่วยจริงๆ
บางทีสำหรับพงศกรแล้ว ตายไปแล้วกลับกันก็เป็นเรื่องดี
หลังจากพงศกรฟังนัทธีพูด กำปั้นทั้งสองข้างก็กำแน่น ร่างกายก็สั่นไปทั้งตัว “นายบอกว่า ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธพวกเขาเหรอ?”
“ถูก นายไม่มีสิทธิ์จริงๆ ” นัทธีมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ความจริงแล้วพงศกร ในใจนายมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ชัดเจนว่าตัวเองไม่ควรเกลียดตระกูลจิรดำรงค์ แล้วก็ไม่ควรไปกล่าวโทษตระจิรดำรงค์ด้วย นายรู้ว่าถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูลจิรดำรงค์ ครอบครัวนายสามคนก็ไม่รอด แต่เพียงเพราะพ่อแม่นายถูกฆ่า นายหาตัวฆาตกรไม่เจอ เลยเอาไฟโกรธมาระบายใส่ครอบครัวจิรดำรงค์ พูดตรงๆ ความจริงแล้วนายมันก็แค่คนไร้ความสามารถ”
“นาย……” พงศกรเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาสองข้างแดงก่ำมองไปที่นัทธี
เขาไร้ความสามารถงั้นเหรอ?
จะเป็นไปได้ยังไง!
เขาจะไร้ความสามารถได้ยังไง!
“นายมาต้องมามองฉันแบบนั้น ฉันไม่ได้พูดอะไรผิด นายมันคนไร้ความสามารถ เอาความแค้นทั้งหมดชี้ไปที่ผู้มีพระคุณของตัวเอง ไม่ใช่ไร้ความสามารถแล้วเป็นอะไร เพราะนายเกลียดตระกูลจิรดำรงค์ เลยเอาความแค้นที่มีต่อคู่อริ ย้ายไปลงที่คนในตระกูลจิรดำรงค์ เพราะนายรู้ ว่านายในตอนนั้น หาตวฆาตรกรไม่เจอ หาทางแก้แค้นให้พ่อแม่ไม่ได้ แต่นายก็รีบหาคนที่เกลียดแค้น เพ่อมาคอยเตือยตัวเองอยู่ตลอด ว่าอย่าลืมความเจ็บแค้นนี้ ดังนั้นตระกูลจิรดำรงค์ เลยกลายเป็นคู่แค้นของนาย”
“หุบปาก นายหุบปาก!” พงศกรทุบหมัดลงที่โต๊ะทำงานของนัทธีอย่างแรง คำรามด้วยสายตาดุเดือด: “ไม่ใช่แบบนี้ ฉันไม่ใช่อย่างที่นายพูด”
“นายเป็นอย่างที่ฉันพูด ไม่อย่างนั้นทำไมนายถึงไม่ฆ่าคนในตระกูลจิรดำรงค์เลยล่ะ?นายเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่ความสามารถที่จะฆ่าคนได้ยังพอรับได้ แต่นายในตอนนี้ไม่มีงั้นเหรอ?ไม่ นายมีโอกาสตั้งมากมายที่จะฆ่าคนในตระกูลจิรดำรงค์ แถมไม่เหลือแม้แต่ร่อง สามารถถอยออกมาได้ แต่นายก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะนายรู้อยู่แก่ใจ ว่าความจริงแล้วนายไม่ได้เกลียดพวกเขาจริงๆ แค่นั้น และนายก็รู้ ว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนฆ่าพ่อแม่นายจริงๆ กลับกันตระกูลจิรดำรงค์เป็นผู้มีพระคุณของพวกนาย เพียงแต่นายหลอกตัวเอง ไม่กล้ายอมรับแค่นั้น”
พงศกรสั่นไปทั้งตัวอย่างหยุดไม่ได้
ไม่ เป็นไปไม่ได้
ฉันไม่มีทางหลอกตัวเอง และไม่มีทางเป็นอย่างที่นัทธีพูดแน่ๆ
ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ๆ
พงศกรอดกลั้นแรงกระตุ้นรุนแรงที่จะทำลายทุกอย่างในใจ หลังจากดวงตาจ้องมองตาของนัทธีอย่างเยือกเย็น ก็หันหลังออกไป
มารุตมองตามหลังเขา แล้วถามนัทธี: “ประธานครับ เขาพาลเอาดื้อๆ เลยทำท่าบ้าๆ ”
พงศกรมีอาการป่วยทางจิตขั้นรุนแรง ถึงว่าเมื่อก่อนเคยไปรักษา แต่ไม่ได้รักษาจนดีแน่ๆ
ยังไงออาการจิตขั้นรุนแรงขนาดนั้น จะรักษาได้ในเวลาแค่สองเดือนสั้นๆ ได้ยังไงกัน?
ผู้ป่วยระดับกลางยังต้องใช้เวลาเกือบสองสามปี
แล้วยิ่งพงศกรป่วยจิตประเภทขั้นรุนแรง
บวกกับตัวเองก็เป็นหมอจิตแพทย์ เขาต้องรู้แน่นอนว่าจะต้องปกปิดอาการไม่ปกติทางจิตของตัวเองยังไง ทำให้คนเห็นแล้ว คิดว่าเขารักษาหายแล้ว
แต่ในความจริงแล้ว ทุกอย่างเป็นแค่พงศกรที่อำพรางไว้อย่างดี
ดังนั้นเมื่อกี้นี้ เขาเกรงว่าพงศกรจะปะทุขึ้น แล้วจะเหมือนเมื่อก่อน ใช้มีดกับประธานแล้วจะยุ่ง
สรุปคือเกิดเรื่องไม่คาดคิด พงศกรระงับอารมณ์ปะทุได้ แล้วหันหลังออกไป
“เขาไม่คลั่งแน่นอน” นัทธีนั่งท่าตรง
มารุตมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะครับ?”
“เพราะที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริง แล้วก็ไม่ได้ปรักปรำเขาด้วย เขาเองก็รู้ว่าฉันพูดจริง เขาโต้แย้งไม่ได้ เขาเลยคลั่งไม่ได้เป็นธรรมดา” ริมฝีปากบางของนัทธีพูดเบาๆ
มารุตพยักหน้าทันที “อย่างนี้นี่เอง ครอบครัวคุณปาจรีย์น่าสงสารจริงๆ เลยนะครับ เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตแท้ๆ กลับถูกเขาเกลียดชังมาสิบกว่าปีโดยไม่มีเหตุผล “
“ฉันเลยพูดไง ว่าเขามันไร้ประโยชน์” นัทธีพูดเสียงเย็นชา: “ใช้ความไร้ความสามารถของตัวเอง เปลี่ยนเป็นความเกลียดชังของตระกูลจิรดำรงค์ คิดว่าแบบนี้จะทำให้ตัวเองดีขึ้นรับได้ขึ้นมาหน่อย แต่ความจริงคือโง่เขลาที่สุด”
มารุตพยักหน้า “จริงครับ”
“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว นายไปปก่อนเถอะ” นัทธีโบกมือ
มารุตตอบรับ “ครับ”
อีกฝั่ง พงศกรกลับมาถึงรถของตัวเอง แต่ไม่ได้ขับออกไปในทันที แต่มองที่มือของตัวเอง ในสายตาเต็มใบด้วยความสับสนและสงสัยในตัวเอง
เมื่อกี้นี้ ที่นัทธีพูด มันยังวนอยู่ในหู
นัทธีบอกว่าเขาไร้ประโยชน์ ใช้ความอ่อนแอของตัวเอง ที่ไม่สามารถช่วยพ่อแม่ได้ ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง แล้วมุ่งเป้าไปที่ตระกูลจิรดำรงค์
แล้วยังบอกว่าที่จริงเขาไม่ได้เกลียดตระกูลจิรดำรงค์ เกลียตัวเองต่างหาก เพราะตระกูลจิรดำรงค์ช่วยตระกูลของเขาไว้
และในฐานะที่เขาเป็นลูก กลัวช่วยพ่อแม่ไว้ไม่ได้ แต่กลับเอาความผิดทั้งหมดย้อนไปหาคนอื่น
และคนอื่นนี้ ยังเป็นผู้มีพระคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตระกูลของพวกเขา
ดังนั้น เขาผิดไปแล้วจริงๆ เหรอ?
พงศกรกำกำปั้นแน่น คำตอบในใจค่อยๆ ลอยขึ้นมา แต่เขากลับไม่กล้าที่จะมองมัน
เพราะเขารู้ ว่าคำตอบนั้น อาจจะล้มล้างความเข้าใจที่เขามีมาตลอด ทำให้เขารับไม่ได้ และพังทลายอย่างสมบูรณ์
กลางคืน หลังจากวารุณีอาบน้ำเสร็จ ก็รับสายปาจรีย์ที่โทรเข้ามา
เนื่องจากตั้งท้องอยู่ ร่างกายจึงไม่ค่อยสบาย บวกกับนั่งเครื่องบินหลายชั่วโมง จำทพให้อ่อนแอลงไปอีก เสียงอ่อนแอนั้นไร้เรี่ยวแรง
“วารุณี ฉันถึงแล้วนะ”
เมื่อได้ยินที่วารุณีพูด วารุณีก็ยิ้ม “ถึงแล้วก็ดี สภาพแวดล้อมที่นั่นเป็นไงบ้าง?อยากเปลี่ยนอะไรตรงไหนไหม ถ้ามีก็บอกฉันนะ ฉันจะให้นัทธีส่งคนไปดูให้”
ปาจรีย์ส่ายหัว “ไม่มีที่ต้องเปลี่ยนหรอก สภาพแวดล้อมดีมาก ฉันชอบมากเลย อาการที่นี่สดชื่น แล้วก็มีที่ดินผืนใหญ่ พ่อแม่ฉันดีใจมาก ที่เขาสามารถปลูกผักผลไม้ที่อยากปลูกได้”