พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 792 ความรู้สึกผิดของปาจรีย์
เมื่อก่อนปาจรีย์รักพงศกรมาก จึงเก็บเด็กคนนี้ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอาไว้
ทว่าตอนนี้ ปาจรีย์ไม่ได้รักพงศกรอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นเด็กคนนี้ เธอยังต้องการอยู่หรือไม่
เมื่อปาจรีย์ได้ยินคำพูดของคุณแม่ปารวี เธอลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ “แน่นอน หนูจะเก็บเด็กคนนี้ไว้”
“เก็บไว้?” คุณแม่ปารวีประหลาดใจ
ถ้าพูดตามเหตุผล ปาจรีย์ไม่ได้รักพงศกรแล้ว เช่นนั้นไม่ควรทำแท้งไปแล้วหรอกหรือ
ไม่ว่าอย่างไร คงไม่มีผู้หญิงคนไหน ยอมให้กำเนิดลูกของคนที่ตัวเองไม่ได้รัก
แต่ทว่าปาจรีย์กลับพยักหน้ายืนยัน “อืม เก็บไว้ค่ะ แม้ว่าหนูกับพ่อของเด็กคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกที่มีต่อเด็กในท้องยังหลงเหลืออยู่ และอีกอย่าง ปาจรีย์คนก่อนเขียนไว้ในจดหมายชัดเจน ให้หนูดูแลเด็กคนนี้ให้ดี หนูรับรู้ได้จากประโยคนั้นว่า ปาจรีย์คนก่อนรักเด็กคนนี้มากแค่ไหน ดังนั้นหนูจึงอยากเก็บเขาไว้” เธอพูดอย่างจริงจัง
คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้เถอะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่สี่คนพ่อแม่ลูก และระหว่างทางจะไม่กลับไปเหลือสามคนอีก”
“อืม” ปาจรีย์พยักหน้า “ขอบคุณนะคะแม่”
คุณแม่ปารวียิ้มพลางส่ายศีรษะไปมา
ช่างเถอะ หากปาจรีย์ต้องการเก็บเด็กคนนี้ไว้ ก็คงแล้วแต่เธอ
วันนี้ในเมื่อปาจรีย์ไม่ได้รักพงศกรแล้ว แม้ในภายภาคหน้าต้องเห็นหน้าเด็กคนนี้ คงไม่ชอกช้ำใจเพราะคิดถึงพงศกรขึ้นมาอีก
ฉะนั้นเด็กคนนี้ จะไม่มีอิทธิพลต่อปาจรีย์อีกต่อไป
อีกอย่างนางและพ่อของปาจรีย์เองก็แก่มากแล้ว และอยากอุ้มหลานมานาน ยิ่งทุกครั้งเมื่อเห็นหน้าลูกทั้งสองของวารุณี ยิ่งอยากอุ้มหลานเร็วๆ
ดังนั้น การเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องไม่เลวร้ายอะไร
“เอาล่ะปาจรีย์ หนูพักผ่อนก่อนเถอะ แม่จะออกไปหาคุณพ่อหนู เล่าเรื่องของหนูให้ท่านฟัง จะได้ไม่ต้องกังวลหากมารู้ทีหลัง” คุณแม่ปารวีลูบผมปาจรีย์อย่างอ่อนโยน
ปาจรีย์พึมพำในลำคอ “ค่ะ แม่ไปเถอะ”
คุณแม่ปารวีเดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากแม่จากไป ปาจรีย์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จากนั้นต่อสายหาวารุณี
เธอลืมพงศกร แต่กลับไม่ลืมวารุณี เช่นนั้นในกรณีของเธอนี้ จึงเป็นอาการความจำเสื่อมแบบเลือกจำ
ไม่นานวารุณีก็กดรับสาย เสียงจากปลายสายดังขึ้น “ปาจรีย์”
“วารุณี” ปาจรีย์เอื้อนเอ่ย “ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ”
“เรื่องอะไรเหรอ” ทางด้านปลายสาย วารุณีกำลังขะมักเขม้นตรวจสอบภาพวาดการออกแบบจากผู้เข้าแข่งขันที่ส่งเข้ามา ขณะกำลังตรวจก็เอ่ยถามไปพลาง
ปาจรีย์กัดริมฝีปากตัวเอง หลังจากเงียบไปหลายวินาที จึงเอ่ยปากพูด “ฉัน…สะกดจิตตัวเอง ให้ลืมผู้ชายที่ชื่อพงศกรคนนั้น”
ปลายสายไร้เสียงตอบกลับมา
เวลาผ่านไปสักพัก วารุณีเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่ปาจรีย์พูด พลันลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “เธอว่าอะไรนะ เธอ…สะกดจิตตัวเอง เพื่อให้ลืมพงศกรงั้นเหรอ”
“ว่าอะไรนะ” ลีน่าผู้ทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าต่างตื่นตกใจไม่แพ้กัน เธอโพล่งขึ้นเสียงสูงจนติดสำเนียงภาษาถิ่นทางตะวันออกเฉียงเหนือ
วารุณีส่ายหน้าเบาๆ หัวใจพลันเต้นโครมครามขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ดูเหมือนว่าปาจรีย์ทำเรื่องใหญ่เข้าแล้วล่ะ รอฉันถามเธอให้ชัดเจนก่อน”
“อืม” ลีน่าพยักหน้ารับรู้ สายตาจับจ้องไปที่วารุณี ไม่มีแม้นอารมณ์จะทำงานต่อ
ปาจรีย์สะกดจิตตัวเอง เรื่องใหญ่ขนาดนั้น ให้เธอใจเย็นนั่งทำงานต่อได้อย่างไร
อีกด้านของปลายสาย ปาจรีย์ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตื่นตกใจอย่างไม่อยากเชื่อของวารุณี เธอสูดลมสายใจเข้า แล้วเอ่ยอีกครั้ง “ฉันหมายถึง ฉัน… สะกดจิตตัวเอง ให้ตัวเองลืมพงศกร”
ครั้งนี้ วารุณีมั่นใจว่าฟังไม่ผิดแน่ หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยตอบ “ปาจรีย์ เธอ…เธอทำแบบนี้ทำไม เธอรู้ไหมว่ามันอันตรายมากแค่ไหน”
วารุณีเป็นอีกคนที่ถูกสะกดจิตให้ลืมความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งเช่นกัน
เมื่อตอนเป็นเด็ก ขณะที่เธอและแม่ขับรถออกไปข้างนอก บังเอิญได้เห็นฉากการตายอันน่าสลดใจของพ่อด้วยตาตัวเอง
ฉากนองเลือดอันน่าหดหู่ เธอหวาดกลัวจนไข้จับ และฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ ต่อไปในภายหลังคุณแม่ไม่มีทางเลือก จึงว่าจ้างนักสะกดจิต ให้ช่วยปิดผนึกความทรงจำเหล่านั้นของเธอเอาไว้
แม้ว่าอาการของวารุณีจะดีขึ้น แต่เธอกลับมีผลข้างเคียงตามมา
เนื่องจากเป็นความทรงจำในอดีต หากเธอนึกถึงมากเกินไปจะทำให้มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง
สิ่งนี้เป็นผลพวงของการถูกสะกดจิต เพราะการสะกดจิตนั้นเป็นอันตรายต่อจิตใจและสมองอย่างมาก
ปาจรีย์เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นกังวลของวารุณีพลันรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา “ฉันรู้ แต่วารุณี ฉันไม่นึกเสียใจเลยนะ แม้ว่าตอนนี้ฉันลืมพงศกรได้แล้ว และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับเขา แต่ที่ฉันรู้ดี มันคงเป็นความทุกข์ทรมาน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ตัดสินใจทำแบบนี้ ถึงแม้จะเสี่ยง แต่ตราบใดที่ฉันลืมเขาได้ ไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไป ฉันคิดว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น ฉันคงแบกรับมันไว้ได้”
เมื่อได้ฟังที่เธอพูด วารุณีพลางถอนหายใจ และความว้าวุ่นภายในใจพลันสงบลง “ปาจรีย์ เธอ… ตัดสินใจทำแบบนี้ได้ยังไง”
เธอรู้ว่าปาจรีย์คนก่อนถูกพงศกรทำให้บอบช้ำอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่เคยคิดจะลืมพงศกรด้วยวิธีการเช่นนี้
แล้วทำไมตอนนี้ถึง…
ปาจรีย์เอียงศีรษะเล็กน้อย “ขอโทษด้วยนะวารุณี ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจทำแบบนั้นได้ยังไง ฉันลืมไปแล้ว บางทีอาจเพียงแค่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แม้ฉันไม่รู้ว่าฉันคนก่อนรักพงศกรคนนั้นมากแค่ไหน แต่ที่ฉันรับรู้ได้ ตอนนี้เมื่อลืมเขาไปแล้ว ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวเอามากๆ ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้มาก่อน สบายราวกับถูกซักล้าง วารุณี เธอรู้ไหม ฉันชอบตัวเองแบบนี้เป็นที่สุด”
คำพูดนี้ทำให้วารุณีหุบปากตัวเองโดยเร็ว เธอไม่กล้าพูดอะไรให้เป็นแรงกระตุ้นอีก
การลืมพงศกรทำให้ตอนนี้ปาจรีย์รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขขึ้น เช่นนั้นเธอจึงนึกขึ้นมาได้ แล้วปาจรีย์คนก่อนต้องแบกรับความเจ็บปวดแบบไหนกัน
บางที สิ่งที่ปาจรีย์เลือกในครั้งนี้อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
“ฉันเข้าใจแล้วปาจรีย์ ในเมื่อลืมพงศกรไปแล้ว หลังจากนี้ก็ใช้ชีวิตให้ดี อย่าได้ไปตกหลุมรักเขาอีกเด็ดขาด” วารุณกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปาจรีย์หัวเราะ “แน่นอน ฉันทำได้ ทิวทัศน์ที่นี่สวยมาก ฉันชอบ และในอนาคตก็ยังไม่มีแผนการจะออกไปจากที่นี่ คิดว่าคงไม่ได้เจอผู้ชายที่ชื่อพงศกรคนนั้นอีก เมื่อไม่เจอเขา ฉันจะตกหลุมรักเขาได้ยังไง เพียงแต่วารุณี ฉันมีเรื่องต้องขอโทษเธอสักหน่อย ตอนแรกที่เราคุยกันว่าอยากสร้างบริษัทด้วยกัน สร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ คงช่วยเธอจัดการธุรกิจไม่ได้แล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด
วารุณีคลี่ยิ้ม “ฉันนึกว่าเธอจะพูดอะไรซะอีก ไม่เป็นไรเลยปาจรีย์ ไว้เราค่อยร่วมมือกันในอนาคตก็ได้ เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องจัดการในตอนนี้ คือเธอต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ให้กำเนิดลูกในท้องได้อย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องพวกนี้ไว้เราค่อยพูดคุยกันทีหลัง ไม่แน่หลังจากนี้ฉันอาจไปเปิดบริษัทอยู่ที่นั่น เธอจะได้ช่วยฉันจัดการธุรกิจ”
“ดีเลย ไว้ฉันจะรอนะ” ปาจรีย์พยักหน้ารับ
หลังจากนั้นทั้งคู่พูดคุยกันสักพัก แล้ววางสายโทรศัพท์
ลีน่าจ้องมองเธอ “เกิดอะไรขึ้นกับปาจรีย์เหรอ”
วารุณีวางโทรศัพท์ลงพลางทอดถอนหายใจ อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับปาจรีย์อย่างไม่มีปกปิด
เมื่อได้ฟังทุกอย่าง ลีน่านึกแปลกใจ แต่ขณะเดียวก็เข้าใจความรู้สึกของปาจรีย์ดี “เธอทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สำหรับปาจรีย์วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธออยู่รอด หากเธอไม่ลืมพงศกร เสพสมความทุกข์ทรมานไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วเธอคงต้องทำร้ายตัวเอง”
“ที่เธอพูดก็ถูก” วารุณีพยักหน้าเห็นพ้อง
ลีน่าพูดเสริมขึ้นว่า “แต่ปาจรีย์เป็นพวกคลั่งความรักเมื่อรักแล้วจะทุ่มเทสุดกำลัง รวบรวมความกล้าใช้วิธีสะกดจิตแบบนี้ ฉันชื่นชมเธอจริงๆ หากเป็นพวกคลั่งความรักดาษดื่น ไม่ว่าเจ็บปวดสักแค่ไหน คงไม่มีใครกล้าทำแบบนั้นเพื่อลืมคนที่ตัวเองรักได้ ฉันชักไม่เข้าใจเธอแล้วละสิ”
วารุณีหัวเราะเบาๆ “ทุกคนมีวิธีการเป็นของตัวเองเสมอ”
“ก็จริง” ลีน่าพยักไหล่ แล้วไม่พูดอะไรอีก
ทั้งคู่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
จนกระทั่งพลบค่ำ หลังจากรับประทานอาหารเย็น วารุณีวิดีโอคอลพูดคุยถึงเรื่องปาจรีย์กับนัทธีอีกครั้ง