พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 794 ไปเยี่ยมคอนโดของปาจรีย์
หลังจากบิ๊กเดินออกไป ลีน่าบิดขี้เกียจ “ตอนนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปคงไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีใครกระโจนออกมาจากด้านหลังแล้วลอบกัดเราอีก”
วารุณีพึมพำ “ใช่ หายไปเรื่องหนึ่ง ใจฉันคงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย”
“พูดจริงนะ ยัยสุชาดานี่งี่เง่าชะมัด” ลีน่ามุ้ยปาก “รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ ผ่านชีวิตมาอย่างยากลำบาก ยังจงใจก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีก ตอนนี้ก็สมควรแล้ว ชั่วชีวิตของหล่อนหลังจากนี้คงไม่มีวันสงบสุขได้”
ริมฝีปากแดงระเรื่อของวารุณีฉีกยิ้มอย่างเยือกเย็น “แค่คนไม่รู้จักพอ ย่อมไม่เหลืออะไรในบั้นปลายชีวิต ฉันกับสุชาดาเคยเป็นเพื่อนร่วมหอกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย”
“เพื่อนร่วมหอสมัยเรียนมหาวิทยาลัย?” ลีน่าประหลาดใจ “ฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย”
วารุณียิ้ม “เป็นเพื่อนกันแค่ปีกว่าๆ หลังจากฉันตั้งท้องอารัณกับไอริน ก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยจันทร์แล้วไปอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นความสัมพันธ์ของฉันกับสุชาดาจึงถูกตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในระหว่างนั้น เพื่อนหลายคนในห้องนอนรวมของฉัน ก็ถูกสุชาดาทำให้ไม่พอใจอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ”
“เล่ามา เกิดอะไรขึ้น” ลีน่าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
วารุณียกแก้วน้ำขึ้นจิบ ก่อนจะเล่าว่า “ฐานะทางครอบครัวของสุชาดาไม่ค่อยดี หล่อนจึงน้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง พวกเราที่อาศัยอยู่ในหอพักต่างมีฐานะทางครอบครัวดีๆ ทั้งนั้น และคนที่มีฐานะดีที่สุดคือฉัน เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เราทุกคนต่างอยากสานสัมพันธ์อันดีกับสุชาดา อยากดึงหล่อนขึ้นมาจากความเนื้อน้อยต่ำใจในตัวเอง แล้วบอกหล่อนว่า พวกเราไม่เคยรังเกียจหล่อนเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากฐานะทางครอบครัวที่ไม่สู้ดีนัก หลังจากหล่อนยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเอง พวกเราอยากช่วยเหลือจึงแนะนำให้หล่อนไปทำงานพาสไทม์ แม้กระทั่งซื้อเสื้อผ้าและของกินให้ แต่…”
“หล่อนไม่ยอมรับมันใช่ไหม” ลีน่าคาดเดาตามผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นทันที
วารุณีพยักหน้า “ใช่ หล่อนคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำ คือการหยามเหยียดและดูถูกทำให้หล่อนอับอาย ดังนั้นระหว่างเรากับสุชาดาจึงไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีในฐานะเพื่อนร่วมห้องกันเลย มีแต่แย่ลง”
“พูดตามตรง การหยิ่งในศักดิ์ศรีนำมาซึ่งปัญหา เมื่อในใจคอยอิจฉาริษยาชีวิตดีๆ ของคนอื่น แต่เมื่อคนอื่นยื่นมือเข้าไปช่วยฉุดเธอขึ้นมามีชีวิตดีๆ ร่วมกัน เธอกลับโกรธเกลียดคนเหล่านั้น คนแบบนี้ ไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อนที่คนอื่นเคยช่วยไว้หรอก” ลีน่าเย้ยหยัน
วารุณีถอนหายใจ “ใช่ เพราะหล่อนปฏิเสธ หลังจากนั้นฉันกับเพื่อนคนอื่นๆ ในหอพักกลับมาคิดไตร่ตรองการกระทำของตัวเองว่า พวกเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า หลังจากนั้นมา จึงไม่มีใครซื้อของหรือแนะนำงานอะไรให้สุชาดาอีกเลย แต่คราวนี้สุชาดากลับโทษว่าเป็นความผิดของพวกฉัน บอกว่าในฐานะเพื่อนร่วมห้องที่เห็นเธอมีช่วงเวลาอันยากลำบาก แต่กลับไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ฉันจนปัญญาจนพูดไม่ออกเลยจริงๆ”
“อึ้งจนพูดไม่ออกเลยใช่ไหมล่ะ คนแบบนี้เป็นพวกอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ตอนยื่นมือเข้าไปช่วย กลับหาว่าดูถูก แต่พอไม่ช่วย ยิ่งเกลียดพวกเธอที่ทำตัวไม่สนใจ ยังไงซะคนแบบนี้ก็ไม่มีทางเข้ากับพวกเธอได้ตั้งแต่แรก และความเห็นอกเห็นใจที่อยากช่วยเหลือหล่อนก็ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ” ลีน่าจ้องมองเธออย่างเข้าอกเข้าใจ
วารุณีส่ายศีรษะได้แต่ฝืนยิ้ม “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฉันทำไม่ได้ ตอนนั้นใครจะไปคิดว่ายัยสุชาดาจะเป็นคนแบบนี้ ก่อนที่พวกฉันจะเสนอตัวช่วยเหลือ หล่อนเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจา เวลาเดินก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่ถูกเนื้อต้องตัวใครด้วยซ้ำ เหมือนพวกกลัวการเข้าสังคม แต่หลังจากที่หล่อนปฏิเสธความช่วยเหลือจากพวกฉัน กลับโทษว่าพวกฉันไม่ยอมช่วย หล่อนเริ่มพูดถึงพวกฉันในแง่ร้าย ทั้งยังแต่งเรื่องโกหกคนทั้งมหาวิทยาลัย จนเชอรีนเกือบถูกไล่ออกเพราะเรื่องที่หล่อนสร้างขึ้นมา”
“ให้ตายเถอะ! ไร้ยางอายเกินไปแล้ว” ลีน่าตบโต๊ะอย่างหัวเสีย
วารุณีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกฉันรู้ทันข่าวลือนั่นซะก่อน เชอรีนคงไม่ใช่เพียงแค่ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย แต่ทั้งชีวิตคงพังไม่เหลือชิ้นดี พวกฉันพาสุชาดาไปที่ห้องท่านอธิการบดี ให้หล่อนยอมรับสารภาพและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านอธิการฯฟังด้วยตัวเอง จากนั้นหล่อนร้องห่มร้องไห้คุกเข่าลงต่อหน้าเชอรีน ขอร้องเธออย่างน่าเวทนา ให้เชอรีนยอมปล่อยหล่อนไปซะ”
“แล้วเชอรีนก็ยอมปล่อยหล่อนไปงั้นเหรอ” ลีน่าขมวดคิ้วถาม
วารุณีพยักหน้า “ใช่ เชอรีนเป็นคนใจอ่อน เห็นหล่อนร้องห่มร้องไห้แบบนั้นก็ยอมปล่อยหล่อนไป หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ออกจากมหาวิทยาลัยและไปอยู่ต่างประเทศ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างเชอรีนและสุชาดาในมหาวิทยาลัย แต่เห็นได้จากความเกลียดชังที่เชอรีนมีต่อหล่อน เกรงว่าหลังจากที่ฉันไป คงมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองแน่ จึงทำให้เชอรีนโกรธเกลียดขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นท่าทีของเชอรีนที่มีต่อสุชาดาคงไม่เป็นแบบนี้”
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนแบบนี้ สุดท้ายกลับได้มาเป็นนางแบบ แถมยังได้คบหากับลูกมหาเศรษฐีอีก” ลีน่ามุ้ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูเหมือนว่าลูกเศรษฐีคนนั้นคงสายตาไม่ค่อยดีสินะ”
วารุณีหัวเราะเบาๆ “ที่สุชาดาได้เป็นนางแบบ อันที่จริงฉันคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยหล่อนรูปร่างดี ส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกับเชอรีนเลยทีเดียว ความฝันของเชอรีนคือการได้เป็นซูเปอร์โมเดล และสุชาดาเองก็ชอบแอบอ่านนิตยสารแฟชั่นของเชอรีนในหอพักอยู่บ่อยครั้ง ฉันจึงเดาว่าสุชาดาคงอยากเป็นซูเปอร์โมเดลเหมือนกัน แน่นอนว่า หกปีหลังจากที่ไม่ได้พบเจอกันเลย หล่อนก็ได้เป็นซูเปอร์โมเดลสมใจอยาก เมื่อเริ่มเปล่งรัศมี ความเชื่อมั่นในตัวเองย่อมตามมา เมื่ออยู่ในแวดวงนางแบบเช่นนี้ เรื่องการคบหาเสี่ยรวยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร และแฟนคนก่อนคบหล่อนเพียงเพื่อสนุกไปวันๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขารักหล่อนจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้”
“นั่นก็จริง” ลีน่าพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมรอยยิ้ม
วารุณีนวดคลึงขมับตัวเอง “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงหล่อนอีกแล้ว ยังไงซะต่อไปฉันคงไม่ได้พบไม่ได้เจอกับคนคนนี้อีก เพราะหล่อนจะหายไปจากชีวิตเราตลอดกาล ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก”
“โอเค ไปทำงานกันเถอะ” ลีน่าบิดขี้เกียจ จากนั้นกลับไปทำงานในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น
ทางด้านวารุณีก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในส่วนของตัวเองต่อจนเสร็จ
ภายในประเทศ พงศกรเปิดประตูห้อง แล้วเดินเข้าไปภายในคอนโด
ปาจรีย์มักใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดแห่งนี้ ดังนั้นการตกแต่งภายในห้องจึงดูอบอุ่นเป็นพิเศษ
แต่เนื่องจากไม่มีคนอยู่อาศัยมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว บนพื้นและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จึงถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นชั้นเบาๆ
แต่ละก้าวเมื่อพงศกรย่ำเดิน รอยเท้าจะถูกประทับตราไว้บนพื้นห้องอย่างชัดเจน
คอนโดแห่งนี้ เขาไม่เคยย่างกายเข้ามา และไม่คิดจะมาด้วยซ้ำ เพราะเขาเกลียดปาจรีย์ยิ่งกว่าอะไรดี
แต่ตอนนี้ ปาจรีย์ไม่อยู่แล้ว เขาจึงกล้ามาที่นี่
พงศกรเดินมาถึงระหว่างห้องนั่งเล่นแล้วชะงักฝีเท้า จากนั้นหันกลับไปมองรอบๆ คอนโดของปาจรีย์อย่างละเอียด คอนโดไม่ใหญ่มาก แต่องค์ประกอบทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อาจเป็นเพราะรีบร้อนเกินไป ด้านบนของเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ต่างๆ จึงไม่คลุมแม้กระทั่งผ้าคลุมกันฝุ่น ของใช้หลายอย่างยังวางเกลื่อนกลาดไม่ได้จัดเก็บให้เรียบร้อย
อย่างเช่น จานผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟ ผลไม้ข้างในจานเน่าเสียไปแล้ว น้ำที่เหลืออยู่ค่อนถ้วย และไฟเราเตอร์กระพริบถี่ๆ บ่งบอกถึงการทำงานของเครื่อง
พงศกรเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง
ดูเหมือนว่า เธอคงตั้งตารอทิ้งเขาไปแทบทนไม่ไหวเลยสินะ
ประกายเยือกเย็นฉายออกมาจากแววตาของชายหนุ่ม จากนั้นก้าวเท้าเดินต่อ ตรงไปยังประตูเบื้องหน้า
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง เขาจับลูกบิดแล้วหมุนเบาๆ
ประตูเปิดออก
พงศกรผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน ห้องนี้คือห้องนอน ดูจากสไตล์การตกแต่งภายในห้องแล้ว คงเป็นห้องนอนของปาจรีย์
เพราะตู้เสื้อผ้าถูกเปิดค้างไว้ เสื้อผ้าของปาจรีย์แขวนอยู่ด้านใน ทว่าบนเตียงกลับมีชุดนอนที่เธอใส่แล้ววางทิ้งเอาไว้
พร้อมกับชุดนอนผู้ชายอีกชุด
ชุดนอนผู้ชาย!
เมื่อเห็นชุดนอนผู้ชายชุดนี้ สีหน้าพงศกรพลันสลดลงทันที จนดูน่าเกลียดน่ากลัว บรรยากาศเย็นเยือกเคลื่อนไหวไปมารอบกาย
เขาไม่เคยมาหาปาจรีย์ที่นี่ เว้นแต่คืนนั้น เขาก็ไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายใดๆ กับเธออีก และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ยอมให้ของส่วนตัวของตัวเองตกอยู่ในมือปาจรีย์เด็ดขาด
หมายความว่า ชุดนอนชุดนี้ ย่อมไม่ใช่ของเขา
ส่วนเป็นของใครนั้น เขามีคำตอบอยู่แล้วในใจ
รพี เธออยู่กับผู้ชายคนนั้น หลังจากที่เขาไป ปาจรีย์ก็อยู่กับผู้ชายอีกคนทันที
เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงแค่ว่าปาจรีย์ถือดีอย่างไร ทันทีที่เขาหันหลังให้ถึงกล้าอยู่กับผู้ชายคนอื่น!