พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 826 สองเท้าเข้าตะราง
ถึงอย่างไร คุณพ่อได้ทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา
ถ้าพงศกรต้องการเอาความ คุณพ่อก็คงหนีไม่พ้น เพราะตั้งแต่ต้นจนจบพงศกรไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ดังนั้น ตามกฎหมายแล้ว คุณพ่อจึงไม่อาจไกล่เกลี่ยได้เลย
เมื่อพงศกรตัดสินใจจับคุณพ่อเข้าคุก คุณพ่อก็ต้องได้เข้าคุกแน่นอน
เมื่อเห็นปาจรีย์หน้านิ่วคิ้วขมวด คุณแม่ปารวีจึงคลี่หน้าผากของเธออย่างอดไม่ได้ “เป็นอะไรลูก? คิดอะไรอยู่น่ะ หน้าตาอมทุกข์เชียว?”
ปาจรีย์ขบริมฝีปากล่าง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพูดในสิ่งที่ตัวเองกังวลออกมา
หลังจากได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของแม่ปารวีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “นี่มัน……”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้เลย
แม่ปารวีมองไปยังปาจรีย์ด้วยสีหน้ากังวล “ปาจรีย์ ถ้าเขาต้องการฟ้องพ่อจริง ๆ เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะลูก?”
ปาจรีย์ส่ายศีรษะ “หนูก็ไม่รู้ค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น เราไปโรงพยาบาล ไปขอร้องเขาดีไหมลูก?” คุณแม่ปารวีคิดหาทางแก้ไขและกล่าวออกมา “บางทีวิธีนี้ เขาอาจจะไม่ฟ้องพ่อก็ได้นะลูก”
“แต่แม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือคะ?” ปาจรีย์ยิ้มเจื่อน “ถ้าพงศกรใจกว้างขนาดนั้น เขาจะเกลียดตระกูลจิรดำรงค์ของเราตั้งหลายปีหรือคะ?”
“……” คราวนี้ คุณแม่ปารวีไม่มีอะไรจะกล่าว
ใช่ ถ้าพงศกรใจกว้างขนาดนั้นจริง ๆ คงคิดจะบอกเรื่องการตายของพ่อแม่เขาตั้งนานแล้ว และเขาจะไม่มีทางจะโทษตระกูลจิรดำรงค์ และจะไม่เกลียดชังพวกเขาตลอดมา
“หรือว่าพ่อของลูกต้องติดคุกจริง ๆ ?” ดวงตาของคุณแม่ปารวีแดงก่ำด้วยความกังวล
ด้วยนิสัยจิตใจคับแคบและพยาบาทของพงศกร เขาจะไม่ปล่อยตาเฒ่าไปอย่างแน่นอน
ปาจรีย์เอื้อมไปจับมือคุณแม่ ครู่หนึ่งจึงกล่าว “คุณแม่คะ พวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”
“ไปโรงพยาบาล?” คุณแม่ปารวีมองดูเธอด้วยความสงสัย
ปาจรีย์พยักหน้า “ค่ะ ไปโรงพยาบาล เราไปขอโทษพงศกรกันก่อนเถอะค่ะ ไม่ว่าอย่างไร การที่คุณพ่อลงมือกับเขาก็เป็นการทำผิดพลาดจริง ๆ เราต้องแสดงทัศนคติของเราค่ะ เขาจะให้อภัยหรือไม่ให้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราจะขอโทษหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาอาจจะไม่ให้อภัย แต่อย่างไรเราก็ต้องขอโทษค่ะ ถ้าเราไม่ขอโทษ ก็อาจจะช่วยอะไรคุณพ่อไม่ได้จริง ๆ นะคะ”
คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “ที่ลูกพูดมาก็ถูก”
“งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ” ปาจรีย์ลุกขึ้นยืน “บางทีถ้าเราขอโทษ อาจจะยังมีความหวังเล็ก ๆ ที่พงศกรจะปล่อยคุณพ่อไปก็ได้ค่ะ แม้ว่าความหวังนี้จะริบหรี่ แต่เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดค่ะ ถ้าเขาไม่ยอมรับคำขอโทษของเรา และยืนกรานที่จะฟ้องคุณพ่อ เราก็ยังสามารถหยั่งเชิงเขาว่าจริง ๆ แล้วเขาต้องการอะไร และต้องทำอย่างไรเขาถึงจะปล่อยคุณพ่อไป”
“แล้วถ้าเขาต้องการเด็กในท้องลูกล่ะ?” คุณแม่ปารวีมองไปที่ท้องของเธอ
ม่านตาของปาจรีย์หดเล็กลง สีหน้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเธอตกใจกับสิ่งที่คุณแม่ปารวีพูด เธอจึงเงียบไปนานพอสมควร
ใช่ ที่พงศกรตามมาถึงที่นี่ ก็เพื่อต้องการให้เธอเอาเด็กในท้องออก
ตอนนี้มีโอกาสพอดี เขาไม่มีทางที่จะพลาด
และอีกอย่าง โอกาสนี้เขาแทบจะไม่ได้หามันด้วยตัวเอง แต่ครอบครัวของเขาเป็นฝ่ายมอบให้เขา
เมื่อเห็นปาจรีย์เป็นเช่นนี้ คุณแม่ปารวีก็เจ็บปวดใจไม่หาย เธอคว้าคนเข้าสู่อ้อมกอด และตบหลังเพื่อปลอบโยน “เอาล่ะ ลูกอย่าคิดมากเลย แม่ก็พูดไปอย่างนั้น บางทีเรื่องอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้จ้ะ”
“แต่คุณแม่คะ เราทุกคนรู้ดี ว่าถ้าเราต้องการให้พงศกรปล่อยคุณพ่อไป การเอาเด็กออกก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่หรือคะ?” ใบหน้าของปาจรีย์เต็มไปด้วยความขมขื่น “พงศกรจะต้องพูดถึงเรื่องนี้แน่นอนค่ะ เขามาที่นี่ ก็เพื่อให้หนูเอาเด็กออกนี่คะ”
พูดตามตรง ตอนนี้เธอลืมพงศกรและไม่รักเขาแล้ว จึงไม่ได้มีความรักต่อเด็กในท้องมากนัก
แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ที่เธอยังไม่ลืมเขา เธอรักเด็กคนนี้อย่างลึกซึ้ง มิฉะนั้น เธอคงไม่ได้เขียนมันลงบนกระดาษโน้ตโดยเฉพาะ แม้ว่าเธอจะลืมพงศกรไปแล้ว แต่เธอก็ต้องให้กำเนิดและเลี้ยงดูเด็กคนนี้จนเติบใหญ่
ดังนั้น เด็กคนนี้ เธอไม่อยากพรากเขาไปจริง ๆ
หากว่าในภายภาคหน้า ความทรงจำของเธอที่เกี่ยวกับพงศกรบังเอิญกลับคืนมา แล้วเด็กคนนี้จากไป ไม่รู้ว่าเธอจะพังทลายขนาดไหน
ทว่าปัญหาในตอนนี้คือคุณพ่ออาจจะต้องติดคุก
กล่าวคือ ตอนนี้เธออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างคุณพ่อที่ต้องติดคุก กับการที่เด็กได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เธอไม่สามารถเลือกได้
ถ้าต้องทิ้งลูกเพื่อช่วยคุณพ่อ เธอทำไม่ได้
เช่นเดียวกัน ถ้าต้องทิ้งคุณพ่อ เพื่อเก็บลูกไว้ เธอก็ทำไม่ได้
เพราะฉะนั้นตอนนี้ เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าควรทำอย่างไร
คุณแม่ปารวีเข้าใจลูกสาวตัวเองดี เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ภายในใจเต็มไปด้วยความยากเย็นเข็ญใจ
เธอจับมือปาจรีย์ไว้ “เอาล่ะลูก อย่าเพิ่งคิดมากเลย แม่รู้ว่าลูกลำบากใจเรื่องอะไร แต่ลูกไม่ต้องกังวลนะ แม่จะไม่ทำให้ลูกต้องลำบากใจ”
“คุณแม่?” ปาจรีย์มองไปยังคุณแม่ปารวีด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของคุณแม่หมายถึงอะไร
คุณแม่ปารวียิ้มให้เธอพลางและตบที่หลังมือ “เอาละจ้ะ เราไปโรงพยาบาลกันก่อน ไปหาคุณพ่อ แล้วก็ไปหาพงศกร วางใจเถอะจ้ะ คุณพ่อจะไม่เป็นอะไร เด็กในท้องของลูก ก็จะไม่เป็นอะไร”
ในเมื่อพงศกรเกลียดชังครอบครัวของพวกเขามากขนาดนี้ คงแทบรอให้ครอบครัวของพวกเขาตายไม่ไหว
ได้ เช่นนั้นก็ใช้ชีวิตชราของเธอเข้าแลกก็แล้วกัน
หากยายแก่คนนี้ตายไป แล้วสามารถชะล้างความเกลียดชังของพงศกรที่มีต่อตระกูลจิรดำรงค์ สามารถทำให้พงศกรปล่อยให้ปาจรีย์และตาแก่นั่นไป
เช่นนั้นเธอก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ
ทว่าเรื่องนี้ เธอจะบอกปาจรีย์กับตาแก่นั่นไม่ได้
มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่ยินยอม ไม่แน่ว่าตาแก่นั่นอาจจะตายแทนเธอ
ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะตาแก่นั่น และตาแก่นั่นจะต้องโทษตัวเองอย่างแน่นอน เพราะคิดว่าตนเองได้ปลุกเร้าความเกลียดชังระหว่างตระกูลจิรดำรงค์กับพงศกรให้เพิ่มมากขึ้น เช่นนั้นคนที่ควรจะตายก็ต้องเป็นเขา
เขาจะต้องคิดแบบนั้น และเขาจะต้องจบชีวิตตัวเองต่อหน้าเธออย่างแน่นอน
และปาจรีย์ก็เช่นกัน เธอจะคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอ ทั้งเรื่องที่เธอตกหลุมรักพงศกร และเรื่องที่เธอยืนกรานที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้
ดังนั้นเพื่อที่จะหยุดเธอ ปาจรีย์จะต้องเอาเด็กออกตามที่พงศกรต้องการอย่างแน่นอน
สรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ครอบครัวพวกเขาทั้งสามคน จะต้องมีหนึ่งคนที่เสียสละ
หากจะต้องเสียสละ เธอก็หวังว่าจะเป็นเธอ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คุณแม่ปารวีก็ถอนหายใจ และพาปาจรีย์ออกไป
ปาจรีย์มองไปยังคุณแม่ และรู้สึกเสมอว่าคุณแม่ของเธอดูเหมือนจะมีอะไรในใจ แต่กลับไม่ได้พูดออกมา
ทว่าปาจรีย์ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอรู้ว่าคุณแม่ต้องไม่ยอมพูดแน่ ๆ
หรือถ้าหากพูด ก็จะได้ไม่มีเรื่องที่เก็บไว้ในใจ
สองแม่ลูกนั่งรถไปถึงที่โรงพยาบาลในตัวเมือง
ในขณะนั้น คุณพ่อประสิทธิ์นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องของพงศกร และเขาดูเหนื่อยล้าและแก่ชรา
ท่าทางของพ่อประสิทธิ์ที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ปาจรีย์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัดอั้นจนเอ่อล้น ดวงตาของเธอพลันแดงก่ำ
เธอรู้ว่าคุณพ่อของเธอไม่ได้หนุ่มแน่นแล้ว ทว่าตอนนี้เธอตระหนักได้ว่าเขาแก่ชรากว่าที่เธอคิดไว้มาก
ทั้งที่เพิ่งเลยห้าสิบแท้ ๆ กลับดูเหมือนคนแก่ในวัยหกสิบเจ็บสิบ แม้แต่คนแก่ในวัยหกสิบเจ็ดสิบยังดูอ่อนกว่าเขา
คุณแม่ก็ด้วย แม้ว่าจะอ่อนกว่าคุณพ่อ แต่เมื่อเทียบกับแม่ที่รุ่นราวคราวเดียวกัน ก็ยังนับว่าแก่ชราอยู่ดี
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!
ปาจรีย์ขบริมฝีปาก เธอรู้สึกว่าพ่อแม่ของเธอไม่ควรแก่ชราขนาดนี้ พวกเขาควรจะเป็นเหมือนพ่อแม่ของวารุณีที่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจและเรียบง่าย
แม้ว่าจะเป็นเหมือนคุณแม่ของวารุณีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีชีวิตที่สบายกว่านี้อีกหน่อย และควรจะได้รับการเลี้ยงดูจากลูกสาวคนนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้อยู่อย่างสบาย แถมยังไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากลูกสาวด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับต้องทำงานอย่างหนักเพื่อลูกสาวคนนี้
เธอไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกสาวของพวกเขาจริง ๆ!