พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 827 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อรู้สึกถึงความทุกข์ใจจากลูกสาว คุณแม่ปารวีจึงหันไปมอง “ปาจรีย์ เป็นอะไรไปลูก?”
ปาจรีย์สูดจมูกพลางส่ายหัว “คุณแม่ หนูไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่ฝุ่นมันเข้าตาน่ะค่ะ”
เธอยังไม่อยากพูดว่าเธอรู้สึกผิดกับพวกเขา
ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องกลับมาปลอบเธออย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเธอไม่ยอมที่จะพูด คุณแม่ปารวีจึงถอนหายใจ ไม่ถามคำถามใด ๆ อีก และพาเธอไปอยู่ต่อหน้าคุณพ่อประสิทธิ์
“สิทธิ์คะ” คุณแม่ปารวีเรียกคุณพ่อประสิทธิ์
คุณพ่อประสิทธิ์ดึงสติกลับมา เงยหน้าขึ้นจากควันบุหรี่ และฝืนยิ้มให้สองแม่ลูก “มาแล้วหรือ”
คุณแม่ปารวีตอบรับ แล้วมองไปยังห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้าง ๆ เขา “เขาอยู่ในนั้นหรือคะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณพ่อประสิทธิ์พลันจางลง “ใช่”
“ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? เขาฟื้นหรือยัง?” คุณแม่ปารวีนั่งลงข้างคุณพ่อประสิทธิ์
ปาจรีย์นั่งลงข้างคุณแม่ปารวี
คุณพ่อประสิทธิ์นึกขึ้นได้ว่าลูกสาวกำลังตั้งครรภ์ เขาจึงรีบดับก้นบุหรี่แล้วโยนทิ้งลงในถังขยะ จากนั้นเขาถึงตอบกลับ “เขาไม่เป็นไร อาการดีขึ้นมาก แต่เขายังไม่ฟื้นเลย”
คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “ดูเหมือนยังจะต้องรอสินะคะ”
“รออะไรหรือ?” คุณพ่อประสิทธิ์หันมามองเธอ
คุณแม่ปารวีก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน เธอพูดถึงเรื่องที่ว่าพงศกรอาจฟ้องเขาและจับเขาเข้าคุก
เมื่อฟังเรื่องนี้ ใบหน้าของคุณพ่อประสิทธิ์พลันหยุดชะงักไป
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้น
ในตอนนั้นเขาโกรธมาก จึงจัดการกับไอ้ผีร้ายเนรคุณที่รังแกปาจรีย์และตระกูลจิรดำรงค์มาโดยตลอด แต่เขาไม่เคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากนั้นเลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ คุณพ่อประสิทธิ์ก็ยิ้มอย่างขมขื่น พลางกล่าว “ช่างเถอะ ตอนนี้ก็จัดการมันไปแล้ว แถมยังได้รับบาดเจ็บแบบนี้ เสียใจไปก็เท่านั้น เพราะงั้นผมคิดว่าถ้าเขาต้องการฟ้องผมก็ฟ้องไป อย่างมากผมก็แค่ติดคุก”
“ไม่ได้นะคุณ” คุณแม่ปารวีรีบโต้แย้งทันที
ปาจรีย์พลันพยักหน้า “ใช่ค่ะคุณพ่อ คุณพ่อจะติดคุกไม่ได้นะคะ”
“ใช่ คุณจะติดคุกไม่ได้นะ” ท่าทีของคุณแม่ปารวีดูจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว หากเขาติดคุก แล้วครอบครัวจะทำอย่างไร?
ใครจะเป็นคนแบกรับครอบครัวนี้?
แต่เธอไม่จำเป็น เธอไม่ใช่หัวหน้าครอบครัว ดังนั้น ครอบครัวนี้ยังสามารถเปลี่ยนได้โดยไม่มีเธอ
หากไม่มีเขา พวกเราอยู่ไม่ได้ หากไม่มีเขา แล้วจากนี้ไปใครจะปกป้องปาจรีย์เล่า?
คุณพ่อประสิทธิ์มองไปที่คุณแม่ปารวีด้วยท่าทางจริงจัง เขาอ้าปากราวกับต้องการจะพูดบางอย่าง แต่หลังจากผ่านไป เขาก็ยังไม่พูดอะไร
คุณแม่ปารวีกล่าวขึ้นอีกครั้ง “สิทธิ์คะ คุณฟังฉันนะ คุณจะต้องไม่ติดคุก ไม่ต้องคิดแบบนี้แล้ว”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ” ปาจรีย์พยักหน้าอย่างจริงจัง
คุณพ่อประสิทธิ์ขมวดคิ้ว “ผมรู้ว่าคุณกับลูกไม่อยากให้ผมติดคุก เดิมทีเราก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นพงศกรต่างหาก คุณคิดหรือว่าคนแบบเขาจะปล่อยผมไป ไม่มีทาง เขาเพียงแต่จะกักขังเราไว้ในนรก”
“ฉันรู้ค่ะ” คุณแม่ปารวีพยักหน้าด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ
คุณพ่อประสิทธิ์มองเธอ “เรื่องที่ติดคุกนี่ ผมคงต้องติดคุกแหงอยู่แล้วละ คุณกับลูกก็ไม่ต้องเสียใจไป เรื่องนี้เดิมทีมันก็เกิดจากความใจร้อนของผมเอง ผมก็ควรจะรับผิดชอบต่อความผิดของตัวเองด้วย”
“ที่พูดก็ถูกค่ะ แต่ถ้าคุณติดคุก แล้วพวกเราแม่ลูกจะทำอย่างไรล่ะคะ?” จู่ ๆ คุณแม่ปารวีก็ตื่นตัวขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำ “ถ้าคุณติดคุก เช่นนั้นพวกเราแม่ลูกก็จะไม่มีใครปกป้อง พอถึงตอนนั้น ถ้าพงศกรอยากจะจัดการกับเรา มันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากหรือคะ? ลูกยังบอกอีกว่า ไม่แน่ว่าหลังจากที่คุณติดคุก พงศกรอาจให้เธอไปเอาเด็กออกก็ได้นะคะ”
เมื่อได้ยินคุณแม่ปารวีพูดเช่นนั้น สีหน้าของคุณพ่อประสิทธิ์ก็ปรากฏความลำบากใจเป็นอย่างมาก
เป็นอย่างที่คิด เขาไม่ได้ตรึกตรองถึงเรื่องนี้เลย
เมื่อเห็นท่าทีของคุณพ่อประสิทธิ์ คุณแม่ปารวีก็รู้ว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับคำพูดของเธอที่กล่าวเมื่อครู่ จึงฉวยโอกาสนี้เกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “เพราะฉะนั้น สิทธิ์คะ คุณจะติดคุกไม่ได้เด็ดขาดนะ”
“แต่ถ้าผมไม่เข้าคุก พงศกรก็ไม่มีทางที่จะปล่อยผม เราจะสู้กับกฎหมายได้หรือ?” คุณพ่อประสิทธิ์ก้มศีรษะลงพลางเอามือทั้งสองข้างกุมศีรษะแน่น รู้สึกอับจนหนทางเป็นที่สุด
แต่ในใจของเขากลับไม่เสียใจแม้แต่น้อย
หากพระเจ้าให้โอกาสเขาอีกครั้ง เขาก็ยังเลือกที่จะลงมือกับพงศกร
สำหรับเขาแล้ว พงศกรเป็นคนที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์เป็นที่สุด เขาอดทนกับคนแบบนี้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว และตอนนี้เขาสุดจะทนแล้ว เขาแค่ต้องการชำระสะสางและระบายความแค้นเคืองให้ลูกสาวและครอบครัวของเขาก็เท่านั้น
ความเป็นจริงชี้ชัด เขาได้แก้แค้นแล้วจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงไม่เสียใจ แม้จะต้องติดคุก เขาก็เต็มใจ
“ใช่ค่ะ เราสู้กับกฎหมายไม่ได้” คุณแม่ปารวีถอนหายใจ
เป็นเพราะเธอรู้ดี จึงตัดสินใจแลกชีวิตตัวเองเพื่อความสงบสุขของครอบครัว
แต่สิ่งที่เธอกังวลคือ พงศกรอาจคิดว่าชีวิตของเธอชีวิตเดียวคงไม่พอ
ถ้าเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เธอก็จะลากเขาลงนรกไปพร้อมกับเธอ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คุณแม่ปารวีกำหมัดแน่น หัวใจแน่วแน่ไม่เสื่อมคลาย
ทว่าปาจรีย์ที่อยู่ข้างกายกลับไม่ได้พูดอะไร เปลือกตาของเธอพับลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
คุณพ่อประสิทธิ์กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ว่าแต่ ทำไมคุณกับลูกถึงยังที่อยู่บ้าน คนของวารุณีกับนัทธียังมาไม่ถึงหรือ?”
“ถึงแล้วค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า
“แล้วทำไมคุณกับลูกถึงยังไม่ไป?” คุณพ่อประสิทธิ์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
คุณแม่ปารวีมองเขา “พวกเราไม่ไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะ?” คุณพ่อประสิทธิ์ตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วนึกบางอย่าง จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เป็นเพราะฉันยังไม่กลับหรือ ถ้าใช่ละก็ คุณกับลูกไม่ต้องรอผมหรอก ไปกันก่อนเลย รอผมจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมจะไปหาคุณกับลูกแน่นอน ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่จะไม่อันตรายกว่าเดิมหรือ?”
“ไม่หรอกค่ะ” ปาจรีย์สั่นศีรษะ “คุณพ่อคะ ตราบใดที่ครอบครัวพวกเราอยู่ด้วยกัน ก็ไม่มีอะไรอันตรายหรอกค่ะ”
“แต่……แต่คุณกับลูกเพิ่งบอกว่าถ้าผมติดคุก ก็จะไม่มีใครปกป้องคุณกับลูก พอถึงตอนนั้น พงศกรก็จะจัดการกับคุณกับลูกได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เพราะฉะนั้น ผมอยากให้คุณหนีไป ต่อให้ผมติดคุก ผมจะได้ไม่ต้องกังวลว่าพงศกรจะลงมืออย่างไรเล่า” คุณพ่อประสิทธิ์กระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ไม่ได้ ผมต้องโทรหาวารุณี ให้เธอส่งคนกลับมารับคุณกับลูกอีกครั้ง”
“อย่านะคุณ” คุณแม่ปารวีกดมือคุณพ่อประสิทธิ์ลงเพื่อห้าม “สิทธิ์คะ คุณฟังเรานะ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่มีทางแยกจากกัน ฉันรู้ว่าคุณทำเพื่อพวกเราสองแม่ลูก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสองแม่ลูกต้องการ แม้ว่าเราจะจากที่นี่ไป และปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่ตามลำพัง พวกเราสองแม่ลูกก็ใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุข และยิ่งไม่มีความสุข คุณเข้าใจไหม?”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ” ปาจรีย์ลุกขึ้นยืนและจับมือคุณพ่อ “ครอบครัวเราควรจะก้าวไปพร้อมกัน ไม่ว่าอย่างไรพวกเราจะต้องอยู่ด้วยกัน หนูเชื่อว่าตราบเท่าที่เราอยู่ด้วยกัน เราก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ รวมถึงพงศกรด้วย”
ระหว่างที่พูด เธอก็เหลือบมองไปทางห้องผู้ป่วย “วางใจเถอะค่ะคุณพ่อ หนูจะไม่ยอมให้คุณพ่อต้องติดคุกแน่นอน แม้ว่าเงื่อนไขของเขาคือการให้หนูไปเอาเด็กออก หนูก็ยอมค่ะ”
“ปาจรีย์ ลูกบ้าไปแล้ว!” สีหน้าของคุณแม่ปารวีเปลี่ยนไปอย่างมาก
ปาจรีย์ยิ้มพลางสั่นศีรษะ “คุณแม่คะ หนูไม่ได้บ้า หนูรู้ดีว่าหนูกำลังพูดอะไรอยู่”
“ในเมื่อลูกรู้ แต่ลูกก็ยอมที่จะเอาเด็กออกหรือ?” คุณแม่ปารวีขมวดคิ้ว
ปาจรีย์มองไปที่คุณพ่อประสิทธิ์ “คุณพ่อคะ คุณแม่คะ เชื่อหนูเถอะค่ะ หนูไม่ได้พูดจาซี้ซั้วนะคะ ระหว่างทางมาที่นี่หนูก็คิดมาเยอะแล้ว หนูได้ตัดสินใจเรื่องนี้หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วค่ะ เป็นเพราะหนูต้องเก็บเด็กคนนี้ไว้ จึงมีแต่สร้างปัญหามากมาย จนตอนนี้ยังทำให้คุณพ่อต้องติดคุกอีก แล้วจะให้หนูยอมรับมันได้อย่างไรคะ อีกอย่าง ถ้าเทียบคุณพ่อกับเด็กที่มือเท้ายังไม่เจริญเติบโต เห็นได้ชัดว่าความผูกพันไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น ระหว่างคุณพ่อกับเด็กคนนี้ หนูเลือกคุณพ่อค่ะ”
ต่อให้สุดท้ายความทรงจำจะหวนคืนกลับมา เมื่อรู้ว่าลูกจากไป ย่อมเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
แต่เมื่อเทียบกับคุณพ่อของเธอ ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน แม้ว่าความทรงจำจะกลับคืนมา เธอก็เชื่อว่าเธอพร้อมจะยอมรับมัน