พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 828 ไม่ปล่อยให้ใครต้องมารับผิดชอบ
คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีต่างก็รู้ดีว่าลูกสาวของพวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กในท้องมากเพียงใด เรียกได้ว่าเปรียบดั่งชีวิตของเธอ
ในตอนแรก ปาจรีย์จะฆ่าตัวตายเพื่อระงับบุญคุณความแค้นระหว่างพงศกรกับตระกูลจิรดำรงค์
แต่หลังจากที่รู้ว่าตนเองท้อง จึงเลิกคิดที่จะฆ่าตัวตาย พูดได้ว่า ปาจรีย์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพราะเด็กในท้อง
แม้กระทั่ง เธอยอมที่จะย้ายรกราก แต่ไม่ยอมให้พงศกรเอาเด็กออก แม้ว่าจะสะกดจิตตัวเองให้ลืมพงศกร ลืมความรู้สึกที่มีต่อพ่อของเด็กคนนี้ แต่เธอก็ยังต้องเก็บเด็กไว้
ดังนั้น สำหรับปาจรีย์แล้ว เด็กคนนี้คือชีวิตของเธอ
แต่ทว่าตอนนี้ เธอกลับเต็มใจที่จะสละเด็กคนนี้เพื่อพ่อแม่ของเธอ เช่นนี้จะไม่ทำให้พวกเขาในฐานะพ่อแม่สะเทือนใจได้อย่างไร
“ปาจรีย์ลูก… ” คุณแม่ปารวีกอดลูกสาวอย่างทุกข์ใจ “ลูกไม่ต้องกังวลนะ พ่อจะต้องไม่เป็นอะไร แม่จะไม่ยอมให้ลูกเสียสละตัวเองหรอกจ้ะ”
“แม่ของลูกพูดถูก” คุณพ่อประสิทธิ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าจมดิ่ง “พ่อจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องเสียสละตัวเองหรอก มีเรื่องอะไร พวกเราในฐานะพ่อแม่จะรับผิดชอบเอง และจะไม่ปล่อยให้ลูกมารับผิดชอบแทนพ่อกับแม่หรอก เพราะงั้นปาจรีย์ ลูกอย่าคิดแบบนั้น เข้าใจไหมลูก?”
ปาจรีย์หลับตาลง ไม่ได้กล่าวอะไร
คุณพ่อประสิทธิ์เห็นเธอเป็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าเธอไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย ภายในใจอับจนหนทาง
ทว่าเขาเข้าใจว่าเหตุใดลูกสาวถึงไม่ฟัง ถึงอย่างไรหากยืนอยู่ในจุดของเธอ เธอก็มีเพียงทางเลือกนี้เท่านั้น
เธอทำไม่ได้ จะให้ละทิ้งเขาในฐานะพ่อเพื่อเก็บเด็กไว้น่ะหรือ?
เขารู้ว่าลูกสาวของเขาจะไม่ทำเช่นนั้น เธอเป็นคนกตัญญูรู้คุณ หากเธอจะละทิ้งเขาที่เป็นพ่อเพราะเลือกลูกจริง ๆ เธอคงจะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้น
ดังนั้นสิ่งที่ปาจรีย์จะทำ คือการเสียสละลูกของตัวเองและเลือกคุณพ่อของเธอ
มิฉะนั้น ปาจรีย์จะถูกคนชี้หน้าด่ากราด
แน่นอนว่าทางที่เลือกของเธอจะทำให้เธอต้องสูญเสียลูกไป และสิ่งที่ปาจรีย์ทำได้คือแบกรับความเจ็บปวดของตัวเธอเอง
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้ลูกสาวเผชิญกับทางเลือกนั้น ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียสละลูกของเธอเพื่อช่วยเขา
อายุอานามเขาก็มากแล้ว ชีวิตเขาก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะตายหรือเข้าคุก เขาก็ไม่กลัว
สรุปได้ว่า เขาจะไม่ยอมให้ครอบครัวเสียสละสิ่งใดเพื่อช่วยตัวเอง
อย่างมากก็แค่ เขากับพงศกรก็พินาศไปพร้อมกัน และเมื่อเขาตาย เขาก็จะลากพงศกรไปด้วย ทีนี้ ตระกูลจิรดำรงก็นับว่าสงบสุขอย่างแท้จริง
คุณพ่อประสิทธิ์คิดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
หลังจากนั้น ทุกคนก็ไม่พูดอะไรอีก และนั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้เพื่อรอให้พงศกรฟื้น
อย่างไรก็ตาม รอจนกระทั่งฟ้ามืดพงศกรก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ตามที่แพทย์กล่าวว่า สมองได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย และอาจต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะฟื้น
ไม่มีวิธีแล้ว คุณพ่อประสิทธิ์จึงให้พยาบาลมาดูแล แล้วทุกคนก็กลับบ้านไป
หลังจากกลับมา คุณพ่อประสิทธิ์ก็ติดต่อหาวารุณี โดยหวังให้วารุณีส่งคนมารับคุณแม่ปารวีกับปาจรีย์ไป
เขาที่จะอยู่ที่นี่ต่อ และเขาไม่ต้องการให้ภรรยาและลูกสาวต้องทนทุกข์ทรมาน
อย่างไรก็ตาม เขาพูดยังไม่ทันจบ คุณแม่ปารวีก็แย่งโทรศัพท์มือถือไป
คุณแม่ปารวีจ้องไปที่เขา แล้วเอาโทรศัพท์แนบไว้ที่หู “ฮัลโหล วารุณี อย่าไปฟังคุณลุงเด็ดขาด พวกเราไม่ไป เพราะงั้นหนูไม่ต้องส่งคนมานะ ได้ยินไหม?”
วารุณีพยักหน้า “ได้ยินค่ะคุณป้า ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะไม่ส่งใครไปค่ะ หนูรู้ความตั้งใจของคุณป้ากับปาจรีย์ดีค่ะ ต่อให้ส่งคนไป คุณป้ากับปาจรีย์ก็ไม่ไปอยู่ดี ต่อให้หนูให้คนบังคับคุณป้ากับปาจรีย์ขึ้นรถ อย่างไรก็จะหาทางกลับไปหาคุณลุงอยู่ดี ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หนูรู้ว่าทุกคนแยกจากกันไม่ได้หรอกค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด คุณแม่ปารวีก็รู้สึกอุ่นใจ “ใช่จ้ะ หนูพูดถูก พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผูกพันกันมานาน จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าขาดไปคนหนึ่ง ที่เหลืออีกสองคนไม่มีทางสงบสุขแน่ ๆ จ้ะ”
“หนูเข้าใจค่ะ หนูเลยไม่ได้ตอบตกลงกับคุณลุง” วารุณีกระซิบ
คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “ดีแล้วจ้ะดีแล้ว ถ้างั้น วารุณี เราไม่รบกวนแล้วจ้ะ ที่นั่นเป็นเวลากลางวัน หนูต้องไปทำงานใช่ไหมจ๊ะ?”
“อีกสักพักค่ะ ไม่รีบค่ะ” วารุณีตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นคิดอะไรบางอย่างได้ จึงถามขึ้นมา “จริงสิ คุณป้าคะ ตอนนี้พงศกรเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
แม้เธอจะรู้สึกว่าพงศกรควรโดนแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พงศกรได้เคยช่วยเหลือเธอและช่วยชีวิตเธอ เธอจึงไม่แยแสเขาไม่ได้
จึงอยากรู้สถานการณ์ของเขาในตอนนี้
คุณแม่ปารวีถอนหายใจ “เขายังอาการหนักอยู่เลยจ้ะ ซี่โครงหักสองซี่และสมองได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย คาดว่าเขาคงจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลช่วงหนึ่ง”
“อย่างนั้นหรือคะ” วารุณีพยักหน้าโดยพลัน “พักฟื้นก็ดีค่ะ เขาจะได้ไม่ต้องไปรบกวนทุกคน พวกคุณป้าก็จะได้คิดหาทางรับมือได้”
“หนูพูดถูก แต่ตอนนี้ป้าแค่กังวลว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมา เขาจะแจ้งตำรวจจับคุณลุงของหนูน่ะสิ ถึงอย่างไรคุณลุงก็ลงมือกับเขา และยังทุบตีเขาจนมีสภาพแบบนี้ เขาไม่ยอมปล่อยลุงไปแน่ ๆ แล้วคุณลุงของหนูก็ไม่กลัวที่จะติดคุกอีก แต่ปาจรีย์จะไม่ปล่อยให้คุณลุงติดคุกแน่นอน และจะทำให้พงศกรปล่อยคุณลุงไปแน่นอนจ้ะ พอถึงตอนนั้น เธอกลัวว่าพงศกรจะให้โอกาสนี้ยื่นข้อเสนอให้ปาจรีย์กำจัดเด็กเพื่อแลกกับความปลอดภัยของคุณลุงก็ได้” คุณแม่ปารวีกล่าวพลางขมวดคิ้ว
วารุณีเม้มปาก “นี่เป็นเรื่องที่ยากจริง ๆ ค่ะ”
“ใช่จ้ะ ตอนนี้เรากำลังคิดอยู่ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร” คุณแม่ปารวีฝืนยิ้มอย่างจนปัญญา
วารุณีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็กล่าวขึ้น “หรือจะให้หนูบอกนัทธีให้พาพงศกรกลับจีนดีคะ แบบนี้ก็แจ้งตำรวจไม่ได้แล้ว อย่างไรเรื่องก็เกิดที่ต่างประเทศ หากเขาอยู่ในประเทศ แจ้งความไปก็ไม่มีประโยชน์ ทางตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องที่เกิดในต่างประเทศไม่ได้หรอกค่ะ ทางตำรวจในประเทศจะไม่ประสานงานกับตำรวจต่างประเทศ แม้ว่าเขาจะแจ้งความที่ต่างประเทศโดยตรง แต่ถ้าคนอยู่ในประเทศ ทางตำรวจต่างประเทศก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือเท็จ ถึงอย่างไรก็ไม่มีพยานว่าเขาถูกทำร้ายที่นั่น ดังนั้นเราอาจลองใช้วิธีนี้ดูก็ได้ค่ะ”
ดวงตาของคุณแม่ปารวีเป็นประกายและใจเต้นรัว
อันที่จริง ถ้าวารุณีช่วยส่งพงศกรกลับไปที่ประเทศจีน ปัญหาของพวกเขาก็จะคลี่คลาย
ขณะที่คุณแม่ปารวีกำลังจะอ้าปากตกลง คุณพ่อประสิทธิ์ก็สั่นศีรษะ
คำพูดเมื่อครู่ คุณพ่อประสิทธิ์ก็ได้ยินเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าวิธีแก้ปัญหาของวารุณีคืออะไร
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถยอมรับได้
คุณแม่ปารวีเข้าใจความหมายในแววตาของคุณพ่อประสิทธิ์ จึงได้สติจากความตื่นเต้นในทันใด จากนั้นยิ้มพลางกล่าวกับวารุณี “วารุณี ขอบใจนะลูก แต่ไม่เป็นไรจ้ะ”
“ทำไมล่ะคะ?” วารุณีงงงวยเล็กน้อย
วิธีที่ดีเช่นนี้ และยังเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหาของตระกูลจิรดำรงค์ ไม่นึกเลยว่าคุณแม่ปารวีจะปฏิเสธ
เรื่องนี้ทำให้เธอคิดไม่ตก
คุณแม่ปารวีอธิบาย “เพราะช่วงที่ผ่านมาเรารบกวนพวกลูกมามากพอแล้วจ้ะ ไม่อยากให้พวกลูกลำบากอีกแล้วละ มิฉะนั้น จะให้พวกเราตอบแทนอย่างไรก็ตอบแทนไม่หมดหรอกจ้ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “คุณป้าคะ ที่หนูทำแบบนี้ก็เพียงเพราะว่าหนูกับปาจรีย์เป็นเพื่อนรักกัน ที่ผ่านมาพวกคุณป้าก็ช่วยเหลือหนูมามากแล้ว หนูก็แค่ตอบแทนเท่านั้นเองค่ะ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันอะไรเลยนะคะ ”
“จำเป็นสิลูก จำเป็น” คุณแม่ปารวีปฏิเสธอีกครั้ง “วารุณี แม่รู้ว่าลูกเป็นเด็กดี แต่ครั้งนี้ เรารับไม่ได้จริง ๆ หากเราพึ่งพาพวกลูกทุกครั้ง เช่นนั้นเราก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว พอพบเจอเรื่องราวอะไร ก็จะพึ่งพาพวกลูกโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น วารุณีลูก คราวนี้ไม่ต้องลงมือแล้ว พวกเราสองผู้เฒ่าจะจัดการเองจ้ะ”
“แล้วพวกคุณแม่จะจัดการอย่างไรคะ?” วารุณีเอียงศีรษะถามด้วยความสงสัย