พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 843 ความกังวลของวารุณี
ปาจรีย์หัวเราะอย่างขมขื่น “กลัวค่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คุณก็เดาได้แล้วว่าฉันจะโทรหาวารุณีพูดอะไร ดังนั้นหากฉันไม่ตอบ คุณก็สามารถกลับคำได้เช่นเดียวกันไม่ใช่เหรอคะ การที่ฉันพูดออกมา คุณอาจเห็นแก่การที่ฉันพูดความจริง ไม่ถือสาก็ได้”
“คุณนี่มันคิดได้เนอะ”พงศกรฮึออกมาทีหนึ่ง
ปาจรีย์ดูไม่ออกว่าเขากำลังประชดประชันเธอหรือเป็นยังไงกันแน่ กัดริมฝีปากแล้วพูด “คุณพงศกร ฉันสามารถโทรได้ไหมคะ”
“คุณโทรเถอะ”พงศกรหันหน้าไปด้านข้าง “แม้ผมจะไม่ให้คุณโทร คุณก็จะหาโอกาสโทรได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง”
ปาจรีย์เงียบไปอีกครั้ง
พงศกรโบกมือ “คุณออกไปเถอะ ผมเวียนหัวนิดหน่อย”
“เวียนหัวเหรอคะ” เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ปาจรีย์ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที จึงรีบถามอย่างเป็นห่วง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ เวียนมากไหมคะ เป็นเพราะกระทบกระเทือนทางสมองใช่ไหมคะ ฉันจะเรียกคุณหมอมาดูคุณนะคะ”
ในขณะที่พูด ก็จะกดกริ่งเรียก
พงศกรจับแขนเธอไว้ “ไม่ต้อง ไม่มีอะไร นอนพักแป๊บเดียวก็หาย”
ปาจรีย์คิดไม่ถึงว่าจู่ๆเขาจะจับแขนเธอไว้ จนทั้งร่างนิ่งอึ้งไป ชั่วขณะหนึ่ง ก้มหน้ามองดูแขนของตัวเองที่เขาจับไว้ โดยไม่เงียบไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง
พงศกรราวรับรู้ได้ว่าพฤติกรรมของตัวเองไม่เหมาะสม จึงค่อยๆปล่อยมือออก แล้วเอากลับเข้าไปในผ้าห่ม โดยอดถูมือเบาๆไม่ได้ ราวกับผิวบนท้อง ยังหลงเหลืออุณหภูมิแขนของเธออยู่
พงศกรเลื่อนเปลือกตาลง ปิดบังแววตาไว้ เสียงก็แหบเล็กน้อย “คุณออกไปเถอะ”
“ได้ค่ะ……” ปาจรีย์ปล่อยแขนตัวเองลง ก้มหน้า ตอบด้วยเสียงเบาราวกับยุง
เมื่อกี้ เธอเป็นอะไรไป
ใจเต้นทำไมจู่ๆเต้นเร็วขนาดนั้น
ตอนที่เขาวางมือไว้บนแขนเธอ ใจก็เต้นผิดจังหวะไปทันที แถมเปลี่ยนเป็นเต้นอย่างรวดเร็วด้วย
หรือว่า สาเหตุเกิดจากเมื่อก่อนที่เธอยังรักเขา ดังนั้นเพียงแค่เขาสัมผัสเธอ สภาพจิตใจเธอก็จะเปลี่ยนรึเปล่า
หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนต่อไปตัวเองต้องระวัง ไม่ควรให้เขาถึงเนื้อถึงตัวอีก ไม่งั้นสภาพจิตใจเธอ อาจเป็นเช่นนี้อีกแน่
นอกจากนี้ เธอกลัวว่าถ้าสัมผัสกันนานไป ผลของการสะกดจิตจะค่อยๆลดลง มันอาจแย่จนทำให้ตัวเองจำเขาได้
“คุณพงศกร คุณพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันจะออกไปแล้วนะคะ” ปาจรีย์สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากพยายามควบคุมจิตใจตัวเองให้นิ่งได้แล้ว ก็ตรงไปที่ประตู
ในเวลานี้เอง จู่ๆพงศกรก็ตะโกน “ตอนเย็น ผมอยากทานซุปหน่อไม้ใส่บวบ”
“ห๊ะ” ปาจรีย์ชะงักเท้า “ซุปหน่อไม้ใส่บวบเหรอคะ”
พงศกรอือตอบสั้นๆ
นี่คืออาหารที่เธอถนัดที่สุด
ในอดีต เธอทำใส่ให้เขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยรับไว้เลยสักครั้ง ถึงขั้นโยนกระติกน้ำซุปเธอลงถังขยะ ต่อหน้าเธอหลายครั้ง
ตอนนี้ เขานึกถึงเธอในตอนนั้น ที่สีหน้าซีด
ในอดีต เขาไม่สามารถเก็บมันกลับมาได้อีก แต่ตอนนี้ เขาอยากลอง ลองดูสักครั้ง ซุปที่เธอทำมันจะรสชาติเป็นยังไงกันนะ
ปาจรีย์ไม่รู้ว่าในใจพงศกรกำลังคิดอะไรอยู่
และไม่รู้ด้วยว่าเมื่อก่อนตัวเองเคยทำซุปนี้ให้เขาด้วย เพราะเธอไม่มีความทรงจำของเมื่อก่อนแล้ว
ดังนั้นตอนที่ได้ยินเขาบอกว่าอยากทานซุปนี้ ก็รู้สึกคนๆนี้ช่างประหลาดจริง
แต่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนาน ก็พยักหน้ารับปาก “ซุปหน่อไม้ใส่บวบใช่ไหมคะ ฉันรู้แล้วค่ะ ตอนเย็นทำให้คุณนะคะ”
ต่อไปเธอมีหน้าที่ดูแลเขา แน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องทำซุปให้เขา ซึ่งไม่มีอะไรอยู่แล้ว
พงศกรเห็นปาจรีย์ตกลง คิ้วของเขาก็ผ่อนคลายลงมาก แล้วอือตอบ หลับตาลง ไม่พูดอะไรอีก
ปาจรีย์มองเขาแวบหนึ่ง ปิดประตูลงเบาๆ แล้วยืนอยู่บนทางเดิน โทรไปหาวารุณี
ในขณะนี้วารุณีปาจรีย์กำลังดูนิตยสารอยู่ เมื่อได้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก็หยิบขึ้นมา โดยไม่มองว่าสายจากใคร ก็กดรับทันที “ฮัลโหล”
“วารุณี”ปาจรีย์ตะโกนเรียกวารุณีอย่างเสียงดัง
เมื่อวารุณีได้ยินเสียงเธอ ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารทันที แล้วยิ้มออกมา “ปาจรีย์ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“วารุณี พงศกรฟื้นแล้วนะ”ปาจรีย์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ทางเดินพลางพูด
เมื่อวารุณีได้ยินเช่นนี้ ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็มีสีหน้าจริงจัง “อะไรนะ พงศกรฟื้นแล้ว”
“อือ ”ปาจรีย์พยักหน้า
วารุณีรีบถามทันที “แล้วสถานการณ์ของพงศกรในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เขาพูดไหมว่าจะแจ้งความ”
ปาจรีย์ยกยิ้มมุมปากพลางส่ายหัว “ไม่เลย ตอนนี้ทางเขาสบายดี และไม่บอกว่าจะแจ้งความด้วยนะ แถม เขายังยอมให้ฉันเก็บลูกไว้แล้ว”
“อะไรนะ”วารุณีตกใจจนลุกขึ้นมาจากโซฟา“นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม”
ลีน่าเดินออกมาจากครัวพร้อมกับจานผลไม้ก็โดนเธอทำตกใจ จนผลไม้ในมือเกือบจะตก
โชคดีที่ตอนท้ายเธอมีไหวพริบดี จึงจับจานในมือเธอไว้แน่นได้ทันเวลา
“วารุณีแกเป็นอะไร”ลีน่าปรับสภาพจิตใจที่ตกใจได้แล้ว ก็เดินไปทางโซฟา เดินไปพลางถามไป
วารุณีชี้ที่โทรศัพท์ “ปาจรีย์โทรมา บอกว่าพงศกรไม่แจ้งความกับตำรวจ แถมยังยอมให้ปาจรีย์เก็บเด็กไว้ด้วย”
“แค่กๆ……” ลีน่าสำลักแตงโมที่กัดไปคำหนึ่ง และไอไม่หยุด จนหน้าแดงไปหมด จนใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะดีขึ้น จึงพูดทั้งน้ำตาคลอเบ้า“จริงรึเปล่า พงศกรใจดีขนาดนี้เลยเหรอ”
วารุณีส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก”
พูดจริงนะ เรื่องนี้เธอก็ไม่ค่อยจะเชื่อเหมือนกัน เพราะพงศกรเกลียดปาจรีย์และตระกูลจิรดำรงค์มากเพียงใด เธอนั้นรู้ดี
ดังนั้นจะเป็นไปได้ยังไงที่จะให้ปาจรีย์เก็บลูกไว้ แถมยังยอมปล่อยคุณลุงไปอีก
ในฝั่งคนโทรนั้น ปาจรีย์ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้น จะทำให้วารุณีมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เธอทัดผมที่อยู่ข้างหูไว้บนหลังหูเสร็จแล้ว จึงตอบ “เป็นเรื่องจริงวารุณี คุณพงศกรเขา ยอมปล่อยคุณพ่อฉันไปจริงๆ แถมยังให้ฉันเก็บลูกไว้ด้วยนะ เพียงแต่มีเงื่อนไขอย่างอื่นด้วย”
“เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆด้วย” วารุณีเม้มปาก
นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หากปล่อยคุณลุงกับเด็กในท้องปาจรีย์ไปง่ายๆ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนยากจะเชื่อหรือยอมรับได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะเป็นพงศกรที่แท้จริง
“ปาจรีย์ เงื่อนไขอะไร” วารุณีรีบถาม
หากเป็นเงื่อนไขที่ตัดสินใจยากอะไร เธอจะได้ให้นัทธีสั่งคนไปทันที เพื่อย้ายพงศกร หรือย้ายปาจรีย์ทั้งครอบครัว
ไม่ปล่อยให้พวกเขาพบหน้ากันอีกแล้ว
ไม่งั้น เรื่องโศกเศร้าอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เมื่อปาจรีย์ได้ยินน้ำเสียงที่กังวลของวารุณี ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ ยิ้มพลางตอบ “วางใจเถอะวารุณี คุณพงศกรเขายังไม่ได้เอ่ยว่าเป็นเงื่อนไขอะไร ดังนั้นเป็นเวลาชั่วคราว ที่ฉันกับคุณพ่อจะปลอดภัย และถ้าหลังจากนั้นเขาเอ่ยข้อเสนออะไร ค่อยว่ากันที่หลังเถอะ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราแบกไหวมีเพียงเท่านี้แหละ หากแบกทั้งหมดไว้ทีเดียว คงได้แตกสลายแน่ แถมจากที่ฉันสังเกตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขอะไร มันก็ไม่แย่ไปกว่าการที่จะให้ฉันเอาเด็กออกแล้วล่ะ ”
“แม้จะพูดแบบนี้ แต่ฉันกังวลว่าหลังจากนี้พงศกรจะมีข้อเสนออะไรอีก มันจะทำให้เกิดเรื่องโศกเศร้าอีก” วารุณีพูดอย่างกังวล
ปาจรีย์มองขึ้นไปที่เพดานในทางเดิน “ไม่เป็นไรวารุณี ไม่ว่าจะเป็นยังไง สถานการณ์ในตอนนี้มันดีแล้ว เรื่องต่อจากนี้ ค่อยว่ากันที่หลังเถอะ ฉันเหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากคิดถึงเรื่องหลังจากนี้อีก ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาไหนถึงจะสามารถพักได้จริงๆ”
วารุณีถอนหายใจ “โอเค งั้นตอนนี้ไม่พูดเรื่องนี้ แต่เมื่อถึงตอนที่พงศกรพูดถึงข้อเสนอนั้น แกต้องบอกฉันนะ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็ต้องบอกฉันนะ”
“อือ” ปาจรีย์พยักหน้า
วารุณีนวดขมับพลางถาม “ใช่แล้ว ในเมื่อพงศกรให้แกเก็บลูกไว้แล้ว แถมยังไม่แจ้งความอีกด้วย งั้นระหว่างแกกับพงศกร จะเอายังไง”