พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 85 แอบอ้างเป็นสุภัทร
“ประธานนัทธี………” วารุณีอ้าปาก เหมือนอยากจะพูดอะไร
นัทธีขัดจังหวะของเธอ มองไปทางเธอ “คุณยังมีธุระอะไรอีกมั้ย? หากไม่มี คุณไปได้แล้ว!”
เขาไล่แขกด้วยสายตาที่เย็นชาและไม่แยแส
วารุณีที่ใช้นิ้วม้วนผมอยู่ “ก็ได้ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ประธานนัทธี”
เธอไม่มีธุระอย่างอื่นแล้วจริงๆ ก็แค่อยากจะพูดเรื่องพงศกรกับเขา แค่เมื่อคิดๆแล้วก็ช่างมันเถอะ
เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องน้ำเขาก็โกรธไปแล้ว หากตอนนี้พูดอีก เขาต้องยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่
วารุณีจับลูกบิดประตูเปิดประตูออก เพิ่งจะก้าวเดินไปก้าวเดียว ด้านหลังก็ดังขึ้นด้วยเสียงของนัทธีอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน”
วารุณีหันหน้าไปมอง
นัทธีวางแท็บแล็ตลง ลุกขึ้นเดินมาทางเธอ เอากุญแจยื่นให้เธอ
“นี่มัน………” วารุณีรับกุญแจมา มองเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่ายังไง
นัทธีขยับริมฝีปากบาง อธิบายอย่างเย็นชา “คุณอ้วกบนรถผม พรุ่งนี้ช่วยผมไปล้างให้สะอาดแล้วค่อยคืนผม”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินกลับไปยังที่นั่งเมื่อกี้ ทิ้งให้วารุณียืนกระอักกระอ่วนอยู่ตรงที่เดิม
เธอรู้ว่าตัวเองอ้วก เมื่อกี้ตอนที่อาบน้ำ เห็นคราบสกปรกบนเสื้อก็สามารถดูออก
แต่เธอกลับไม่รู้ว่าเธอนั้นอ้วกบนรถของเขา
“ฉันทราบแล้วค่ะ ฉันจะล้างให้มันสะอาดใหม่เอี่ยมเลย” วารุณีกำกุญแจรถแน่น ด้วยใบหน้าแดง กล่าวเสียงเบา
นัทธีตอบรับไปหนึ่งคำ ก็ไม่ได้พูดอีกเลย
กลับมาถึงคอนโด
วารุณีก็ได้วางกระเป๋าและถุงสองใบที่อยู่ในมือลง เดินเข้าไปห้องลูกด้วยฝีเท้าที่เบา
มองลูกสองคนกอดกันนอนหลับอย่างสนิท วารุณียิ้มเล็กน้อย โน้มตัวไปหอมแก้มของลูกทั้งสองคน จากนั้นก็ช่วยเด็กๆห่มผ้า แล้วก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
ในห้องรับแขก วารุณีหาวไปหนึ่งที ก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า เห็นเบอร์ของพงศกรโทรเข้ามาหลายสายและส่งข้อความมาหลายข้อความ เธออุทานเบาๆ แล้วก็โทรกลับไปหาเขา
ไม่นานนักเขาก็รับสาย น้ำเสียงที่ร้อนใจของพงศกรก็ถูกส่งมา “คุณวารุณี ตอนนี้คุณไหน?”
“ฉันอยู่บ้านจ้า” วารุณีรินน้ำให้กับตัวเองพร้อมกับตอบ
พงศกรดูเหมือนจะถอนหายใจด้วยโล่งอก “งั้นก็ดี ตอนที่คุณถูกประธานนัทธีพาตัวไป ผมนึกว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีกับคุณเสียอีก”
วารุณีดื่มน้ำไปอึกหนึ่งแล้วหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไง ประธานนัทธีไม่ใช่คนแบบนั้น”
“คุณเชื่อเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?” พงศกรที่ไม่ได้สวมแว่นหรี่ตาลง
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันก็เชื่อคุณด้วย” วารุณีนั่งลง
พงศกรเหมือนจะฟังอะไรออก กลอกตาเล็กน้อย ถามอย่างลองเชิญ “วารุณี ประธานนัทธีพูดอะไรกับคุณเหรอ?”
“ก็ไม่อะไรหรอก เขาน่าจะเห็นเราดื่มเหล้าด้วยกัน เข้าใจผิดว่าคุณจะทำอะไรฉัน” วารุณียิ้มกล่าว
พงศกรที่ถือโทรศัพท์เอาไว้ค่อยๆกำมันแน่น “แล้วคุณคิดว่าเขาพูดจริงมั้ย?”
“เมื่อกี้ฉันพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเชื่อคุณไง” วารุณีนอนลงไปที่โซฟา บิดขี้เกียจอย่างสบายตัว
พงศกรก็ได้คลายแรงของมือลง ยิ้มอย่างลึกๆ
“ใช่แล้วคุณพงศกร ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมประธานนัทธีถึงได้พาตัวฉันไปล่ะ?” วารุณีมองเพดานห้องแล้วถาม
พงศกรถอนหายใจแล้วยิ้มอย่างเจื่อนๆ “ตอนนั้นคุณเมาแล้ว ผมเช็กบิลแล้วกำลังจะส่งคุณกลับ สุดท้ายประธานนัทธีปรากฏตัว พูดว่าผมคิดไม่ดีกับคุณ ก็ได้แย่งตัวคุณไปจากผม”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” วารุณีพยักหน้า เข้าใจแล้ว
พงศกรแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ “ผมก็ไม่รู้ว่าประธานนัทธทำไมถึงเข้าใจผิดแบบนั้น พวกเรารู้จักกันมาหลายปี ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง เขาพาคุณไป ผมยังเป็นห่วงว่าเขาจะทำอะไรคุณเสียอีก ดังนั้นจึงได้โทรหาและส่งข้อความหาคุณอย่างต่อเนื่อง รู้ว่าคุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ วารุณีรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันก็ทำให้คนรู้สึกทั้งโกรธทั้งตลก
อย่างไรก็ตามสาเหตุล้วนมาจากทั้งพงศกรและนัทธีต่างกลัวว่าเธอจะเกิดเรื่อง
ขณะที่คิด วารุณีมองไปทางเข้าประตู ดูเหมือนอยากจะมองทะลุผ่านประตู จะได้มองเห็นคนที่พักอยู่ตรงข้าม
เวลาหลังจากนั้น วารุณีก็พงศกรก็คุยกันเรื่องอื่น หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก็กลับห้องไปนอน
วันที่สอง วารุณีตื่นมาทำอาหารแต่เช้า
หลังจากทำเสร็จ เธอก็ปลุกลูกทั้งสองขึ้นมา ให้พวกเขาไปตามนัทธีมาทานข้าวด้วยกัน
ลูกทั้งสองคนก็ต้องตอบรับอย่างดีใจ
และแล้วไม่ถึงสองนาที ลูกทั้งสองก็เดินคอตกกลับมา
“หม่ามี๊ คุณอานัทธีไม่อยู่ค่ะ” ไอริณพูด
วารุณียืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหาร ท่าที่แกะผ้ากันเปื้อนก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับมาสู่ท่าทางธรรมชาติ “น่าจะออกไปแล้วมั้ง ไม่เป็นไร พวกเรามาทานกันเถอะ ทานเสร็จเดี๋ยวหม่ามี๊จะส่งลูกๆไปโรงเรียน”
“ครับ ค่ะ” ลูกทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
หลังทานข้าวเสร็จ วารุณีก็ขับรถของนัทธีส่งลูกๆทั้งสองคนไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็ไปร้าน4S ให้ร้านนี้ล้างรถให้
ระหว่างที่รอรถ จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “ปวิช นายอยากจะซื้อรถเหรอ?”
เป็นขยานี!
วารุณีรีบหันหน้าไป มองไปทางต้นเสียง เห็นขยานีควงปวิชเดินเข้ามา ท่าทางเหมือนเด็กสาว ทำให้คนมองแล้วขยะแขยง
“ผมอยากจะซื้อรถเบนท์ลีย์สักคัน” ปวิชลูบหัวของขยานีแล้วพูด
ขยานีกัดริมฝีปาก ใบหน้าลำบากใจ “ปวิช รถเบนท์ลีย์มันแพงเกินไปแล้ว ในมือฉันไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น นายก็รู้ว่าช่วงนี้เงินของบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปหมุนไม่ทัน……..”
“ผมไม่สน คุณพูดแล้วว่าจะให้รถกับผม ไม่อย่างนั้นคุณก็ไปขอสามีคุณสิ” ปวิชไม่สนใจอะไรเลย ยืนกรานที่จะเอารถเบนท์ลีย์
ขยานีไม่ได้ถอย ถือโทรศัพท์แล้วออกไปโทรศัพท์ข้างนอก
หลังจากที่เธอไปแล้ว สายตาที่ว่อกแว่กของปวิชก็มองไปโดยรอบ เห็นวารุณีที่อยู่ห้องรับรอง แววตาก็เปล่งประกายทันที เดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว “คุณผู้หญิง คุณเป็นเซลล์ของที่นี่หรือเปล่า?”
“ห๊า?” วารุณีกำลังสงสัยว่าเขามาได้ยังไง ได้ยินคำพูดของเขา อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจตัวเองไปหนึ่งรอบ
เมื่อเห็นชุดฟอร์มบนร่างกายตัวเอง มุมปากก็กระตุกไปหนึ่งที
ไม่พูดไม่ได้แล้ว วันนี้การแต่งกายของตัวเอง ก็คล้ายเซลล์อยู่ไม่น้อย
เห็นวารุณีไม่พูด ปวิชเข้าใจว่าเธอยอมรับแล้ว หยิบนามบัตรหนึ่งใบยื่นให้กับเธอ “คุณผู้หญิง เดี๋ยวซื้อรถเสร็จ ไปดื่มกาแฟกับผมสักแก้วมั้ย?”
สีหน้าของวารุณีเต็มไปด้วยความขยะแขยง
เรื่องอะไรกัน?
เธอกลับถูกแมนดาของขยานีมาชวนไปดื่มกาแฟ!
วารุณีมองผู้ชายที่แสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษตรงหน้า ผู้ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหื่น พยายามบังคับตัวเองไม่ให้อ้วก ยิ้มรับนามบัตร มองแล้ว ก็หลุดหัวเราะออกมาทันที “ประธานบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ป?”
“ใช่!” ปวิชจัดเนคไทที่อยู่บนคอเสื้อ
วารุณีกลอกตาไปหนึ่งที
ยังมีคนที่หน้าด้านแบบนี้จริงๆเหรอ กล้าแอบอ้างเป็นสุภัทร!
แต่ในเมื่อคนผู้นี้เข้ามาเอง งั้นเธอก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย
ขณะที่คิด วารุณีมองเขาอย่างประหลาดใจ “ที่แท้ก็ประธานสุภัทรนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ!”
ปวิชถูกคำว่าประธานสุภัทร ทำให้เขาฟังแล้วตัวลอยขึ้นมาเลย ไม่มีทางสังเกตเห็นแววตาที่กำลังสัพยอกของวารุณีเลย ลูบไปที่มือของวารุณีที่กำลังจับมือกับเขาอยู่ “ยังไม่ทราบเลยว่าคุณชื่ออะไรเลย?”
วารุณีดึงมือกลับโดยไม่พูดไม่จา พูดด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้ม “ประธานสุภัทร คุณไม่รู้จักฉันแล้วเหรอ?”
ปวิชใบหน้าแข็งทื่อ ลนลานเล็กน้อย “ผม……..ผมควรรู้จักคุณเหรอ?”
“แน่นอนสิ ฉันน่ะเป็น……..”
ยังไม่ทันพูดจบ ขยานีก็กลับมาแล้ว เห็นวารุณียืนอยู่กับปวิช ตกใจจนวิญญาณเกือบออกจากร่างแล้ว รีบวิ่งเข้ามา มาขวางอยู่ตรงหน้าของปวิช จ้องมองวารุณีแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่แหลม “วารุณี ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้?”
“ฉันมาล้างรถที่นี่” วารุณียิ้มๆ มองสำรวจเธอหัวจรดเท้า “คุณน้าขยานี คุณน้าออกจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของขยานียิ่งซีดเข้าไปอีก ยังไม่ทันรอให้เธอพูดอะไร น้ำเสียงที่ประหลาดใจของปวิชก็ดังขึ้น “คุณเป็นลูกสาวของภรรยาเก่าคุณสุภัทร?”